puideedee.com

สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ปริศนาอาถรรพ์ อันตราย

   เปิดปมสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาBermuda Triangle และ สามเหลี่ยมปีศาจ Devil's Triangle

     สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา กรอบรูป 3 เหลี่ยมของความอาถรรพ์ ..การหายไปของเรือ หรือเครื่องบินต่างๆ พร้อมลูกเรือ เพราะต่างดาว หรือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ และอีกหลายสาเหตุ ความลึกลับนี้ ได้คลายปมด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน จากการทดลอง และพิสูจน์  ทุกๆวันนี้ โลกเราเปล๊๋ยนไป สภาพอากาศก็เปลี่ยนอย่างรุนแรง

      ารศึกษา สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ก็เพื่อจะหาแนวทางป้องกัน ไม่ให้เกิดขึ้นอีก ป้องกันการสูญเสียที่จะเกิดขึ้น เพราะเขตอันตรายอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ทั่วโลก แล้วแต่สภาพอากาศ จากสภาวะเรือนกระจก ลองตามมาหาคำตอบกัน

 

      การหายสาบสูญส่วนใหญ่เกิดขึ้นในบริเวณ ตามแนวชายฝั่งทางตอนใต้ของหมู่เกาะบาฮามาส(Bahamas) และช่องแคบฟลอริดา(Straits of Florida) ซึ่งในบริเวณดังกล่าวเป็นบริเวณที่มีการจราจร หนาแน่นที่สุดในโลก เป็นพื้นที่ทางตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ที่มีอากาศยานเครื่องบิน  เรือเดินสมุทร เรือต่างๆ รวมถึง มนุษย์ มากมาย หายสาบสูญไปโดยหาไร้ร่องรอยในบริเวณดังกล่าว การหายสาบสูญว่าเป็นเรื่องของปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ หรือ จะเป็นที่ตั้งฐานทัพของสิ่งมีชีวิตนอกโลก ที่เรียกว่า UFO dentified flying objec tหลักฐานซึ่งบันทึกไว้ได้ระบุว่า เหตุการณ์การหายสาบสูญของอากาศยานและเรือผิวน้ำส่วนใหญ่ ได้รายงานอย่างไม่ถูกต้องนัก

     

     สามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีเนื้อที่ประมาณ 1.14 ล้านตารางกิโลเมตร (4.4 แสนตารางไมล์) อยู่ระหว่างจุด 3 จุด ได้แก่ เปอร์โตริโก ปลายสุดของรัฐฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดา ซึ่งเป็นเกาะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกและดินแดนในปกครองของสหราชอาณาจักร มีพื้นที่ครอบคลุมช่องแคบฟลอริดา หมู่เกาะบาฮามาส และหมู่เกาะแคริบเบียน จุดปลายสุดของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ได้แก่ ชายฝั่งแอตแลนติกของไมแอมี, ซานฮวน (บนเกาะเปอร์โตริโก) และเกาะเบอร์มิวดา ด้วยเหตุว่าอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดขึ้นตามแนวชายฝั่งด้านใต้โดยรอบหมู่เกาะบาฮามาสและช่องแคบฟลอริดา

พื้นที่ดังกล่าวเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ที่หนาแน่นที่สุดในโลก โดยมีเรือผ่านพื้นที่นี้เป็นประจำทุกวันมุ่งหน้าไปยังเมืองท่าในทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป และหมู่เกาะแคริบเบียน นอกจากนี้ ยังเป็นพื้นที่ซึ่งมีการสัญจรทางอากาศอย่างหนาแน่น ทั้งอากาศยานพาณิชย์และส่วนตัว ซึ่งมุ่งหน้าไปยังฟลอริดา แคริบเบียน และทวีปอเมริกาใต้

 

     วันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1945 สนามบินกองทัพเรือ Fort Luaderdale รัฐฟลอริดา USA  การหายสาบสูญของฝูงบิน 19  ฝูงบินกองทัพเรือสหรัฐซึ่งประกอบด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิด ทีบีเอ็ม อเวนเจอร์ 5 ลำ นักบิน 14 คน ซึ่งอยู่ในระหว่างไปการซ้อมบินการทิ้งระเบิด ออกบินเวลา 14.10 น.สู่มหาสมุทร แอตแลนติค หลังจากนั้น 2 ชั่วโมง นักบินหัวหน้าทีม รายงานติดต่อกับทางศูนย์การบินตลอดเวลา รายงานถึงการมองเกาะไม่เห็น เตรื่องนำร่องเสียทั้ง 2 แบบ คือแบบอิงขั้วแม่เหล็กโลก กับ สร้างของตัวเครื่องบินเอง ฝูงบินหลงทางไปเรื่อยๆ (คาดการณ์ว่า บินจนน้ำมันหมด) จนสัญญานหายไปวิทยุจางไปเรื่อยๆ สุดท้าย ก็ขาดการติดต่อไป ฝูงบินหายไปจากจอเรดาร์ ทางกองทัพได้ส่งชุดปฏิบัติการค้นหาถึง 6 ลำใหญ่ เรือรบ หลายลำ กระจายหาทั่วจากจุดที่ขาดการติดต่อไป ค้นหากว่า 500,000 ตร.กม. เพื่อหาเศษซากเครื่องบินทั้ง 5 ลำ แต่กลับไม่ปรากฏพบเลยแถมเครื่องบินค้นหาขนาดใหญ่ หมายเลข 56 P6 ลูกเรือ 13 คน ยังหายไปอีก 1 ลำ (ซึ่งต่อมามีคนเห็นว่า เครื่องบินมีควันออกจากเครื่องยนต์ แต่ไม่เห็นว่ามันตกแต่ประการใด)

     วันที่ 4 ธันวาคม ปี 1970 มีนักบิน 2 พ่อลูก บรูซ เกอนอล ได้บินเข้าไปในบริเวณ 3 เหลี่ยมเบอร์มิวดา ได้พบกลุ่มเมฆหมอกขนาดใหญ่เมื่อเขารู้ว่ารู้สึกไม่ปลอดภัย จึงรายงานไปทางศูนย์ควบคุมการบิน ไมอามี่ ซึ่ง เครื่องบินของเขา ไม่ปรากฏในจอเรดาร์ เมื่อเขาหาทางออกมา ที่เป็นช่องระหว่างเมฆ   เครื่องบินของเขาจึงปรากฏบนจอเรดาร์ อีกครั้งนึง ในเมฆใหญ่สูงทมึน 2 ข้างนั้น ถูกเรียกว่า พายุฟ้าผ่าSuper cell มันสร้างอิเลคตรอนที่สร้างรังสีแกมม่าได้อย่างมหาศาล

     นักวิทยาศาสตร์วิทยา อีวาน แซนเดอสัน  เรียกจุดที่สร้างรังสีแกมม่า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ว่า จุดหมุนวน มันมีกระจายไปทั่วโลกแต่ที่รุนแรงที่สุดอยู่ที่ 3 เหลี่ยม เบอร์มิวด้านี่เอง.. ส่วนรองมาคือทะเลปีศาจ ( Devil Sea )ปีศาจทะเลหรือสามเหลี่ยม ซึ่งปี ค.ศ. 1967 มีเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ เรือพาณิชย์ขนาดใหญ่ได้หายไปอย่างลึกลับเป็นจำนวน 15 ลำ ทั้ง 15 ลำ ไม่มีการส่งสัญญาณ “SOS” หรือส่งวิทยุขอความช่วยเหลือใดๆ ที่เป็นเรือขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ช่วยในการเดินเรือแบบทันสมัยบริบูรณ์ เช่น วิทยุสื่อสาร เราดาร์นำร่องโซนาร์นำร่อง

 US.S.Cyclops กองทัพสหรัฐ

     เรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ US.S.Cyclops (ไซคล๊อปส์) ของกองทัพสหรัฐ สร้างโดย William Cramp and Sons, Philadelphia  ปล่อยลงน้ำ 7 May 1910 เอาออกใช้ 1 May 1917 ระวางขับน้ำ 11,000 ตัน ลูกเรือ จำนวน 306 คนบรรทุกแมงกานิสเต็มลำ หายไปอย่างลึกลับเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ.1918  จากอดีต ได้มีการคาดเดาไปต่างๆนานา แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยี ทันสมัยขึ้นจึงมีการค้นหาคำตอบถึงความเป็นไปได้ มีการทดสอบการจมของเรือเดินสมุทรขนาดยักษ์ ผลก็คือ ถ้าเจอคลื่นขนาดใหญ่สูงกว่าเรือ 3-5 เท่า โดยที่มีคลื่นมาแบบอัดคู่จะเกิดร่องระหว่างคลื่น ทำให้เรือคว่ำได้อย่างง่ายดาย ซึ่งหาคลื่นแบบนี้ได้ยากในทะเลทั่วไป ยกเว้น ทะเลที่มีอากาศแบบจุดหมุนวน

     ในปี พ.ศ. 2553 โจเซฟ โมนาแกน ได้เสนอว่า สาเหตุที่เรือจมและเครื่องบินตก เกิดจากแก๊สมีเทนที่ก่อตัวขึ้น โดยแก๊สดังกล่าวอยู่ใต้ท้องทะเลในบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา โดยเมื่อแก๊สเหล่านี้ขึ้นสู่พื้นผิว มันจะทะยานสู่อากาศ และขยายตัวเป็นวงกว้างและก่อตัวเป็นฟองแก๊สขนาดใหญ่ เมื่อเรือลำใดผ่านเข้าไปในบริเวณนั้น ก็จะเข้าไปสู่ฟองแก๊สมีเทนขนาดยักษ์ จนทำให้เรือเหล่านี้สูญเสียการควบคุม และจมลงในที่สุด

     นอกจากนี้ ..จากเทคโนโลยีที่ทันสมัย การจำลองพื้นดินใต้ท้องทะเลทั้งหมดด้วยวิธีการใช้เสียงโซนาร์ถ่ายภาพ เสียงที่ตกสะท้อนในเวลาที่แตกต่าง จะส่งมาเป็นคลื่นกราฟ ก็จะได้คำตอบของการอัดสะท้อนของพื้นใต้น้ำ ทำให้เกิดคลื่นน้ำแบบแปลกๆได้ หรือแม้แต่ แนวหินที่แหลมคมและคลื่นทะเลที่รุนแรง สามารถฉีกเรือ หรือเครื่องบินที่ตกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแบบไม่เหลือซาก..

     มีแนวคิดทางวิททยาศาสตร์อีกทฤษฏีที่น่าตื่นเต้นคือ ทฤษฏีของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจำนวนมหาศาลที่รุนแรง2   ขั้ว จากรังสีแกมม่า  ที่เรียกว่า พายุอิเลคตรอน โดยมี เมฆสูงยักษ์ดำทมึน 2 ข้าง ฝนฟ้าคะนองอย่างรุนแรงเกิดประกายฟ่าผ่าเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสุดขั้ว ทำให้เกิดการฉีกแนวสูญญากาศเป็นช่องยาว เกิดการยืดออกของเวลา คือเมื่อเกิดการเดินทางในมิติสุญญากาศ จะทำให้เวลานานขึ้นนั่นเอง นี่ก็น่าจะตอบปัญหาของการหายของวัตถุ ชองอากาศยานและเครื่องบินได้ ..ส่วนเรือยังมีเรื่องของ การเกิดแนวฟองอากาศของกาซมีเทน David May and Joseph Monaghan of Monash University in Australia คิดว่าเมื่อฟองก๊าซลอยตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ แล้วแตกตัวจะทำให้ผิวน้ำเกิดเป็นหลุมทำให้เรือตกลงไปในหลุมนั้น แต่ เนื่องจากเมื่อฟองก๊าซแตกตัว นั้นจะเกิดลำน้ำความเร็วสูงพุ่งขึ้นมาทำให้ผิวน้ำบริเวณนั้นหมดค่าแรงตึงผิวเรือเสียสมดุลย์และมีน้ำหนักตัวมาก ซึ่งผิวน้ำที่เป็นฟองจำนวนมหาศาล ทำให้เรือยุบตัวลงสู่พื้นมหาสมุทรเบื้องล่างอย่างง่ายดาย..

 สามเหลี่ยมเมอร์บิวด้า และทะเลจีนใต้ กับ ฟองก๊าซมีเทน (bermuda triangle methane gas theory) 

     ส่วนในเรื่องของ UFO. หรือ unidentified flying object ..นั้นจะมีจริงหรือไม่ ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้เด่นชัด แต่ในพระไตรปิฎก ของทางพระพุทธศาสนา พระอภิธัมมัตสังคหะ ปริเฉทที่ ๕.. ได้เขียนไว้ว่า มีทวีปใหญ่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ อยู่ ๔ ทวีป ได้แก่ อุตรกุรุทวีป บุพวิเทหทวีป ชมพูทวีป และอมรโคยานทวีป...โลกมนุษย์เรา อยู่ในชมพูทวีป อยู่ทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ ..ซึ่งทวีปในที่นี้ หมายถึง จักรวาลที่มีสิ่งมีชีวิตบังเกิดขึ้น..ที่ห่างกันมากมาย.. จักรวาลไหนใครไปถึงก่อนก็เป็นเรื่องของอนาคต ถ้าอยากรู้ คำตอบทั้งหมด มีวิธีเดียวคือ นั่งสมาธิ ปกติครเราใช้สมอง 10 % อีก 90 % ไว้สำรอง (นักประสาทวิทยา Barry Gordon จาก Johns Hopkins School of Medicine ใน Baltimore เรื่อง The Energies of Men) หากนำเอา 90 % ที่ไว้สำรองใช้งาน มาทำสมาธิขั้นสูงให้ได้ ความลับต่างๆในจักรวาล ก็จะเปิดออกเอง โดยไม่ต้องถามใครเลย..

ถัดมาในปี ค.ศ. 1969 นายวอลเลซ สเปนเซอร์ ได้เขียนหนังสือว่าด้วยสามเหลี่ยมปริศนานี้โดยเฉพาะออกจำหน่ายในชื่อว่า ลิมโบออฟเดอะลอสต์ (Limbo of the Lost) ถัดจากนั้น ก็มีหนังสือออกจำหน่ายตามมาอีกมากมายเกี่ยวกับความลึกลับของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา ซึ่งก็มียอดจำหน่ายดีแทบทุกเล่ม ที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษคือบทความที่มีชื่อว่า เดอะเดวิลส์ไทรแองเกิล (The Devil's Triangle) ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1974 ซึ่งเป็นเนื้อหาสำหรับคนที่ชื่นชอบความลึกลับเกี่ยวกับสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นอันมาก

+

หลุมสีฟ้าในทะเลที่ลึกที่สุด ซึ่งเป็นหลุมที่อยู่ใต้น้ำ ที่ถูกค้นพบในบาฮามาส มีระดับความลึกถึง 202 เมตร (663 ฟุต) หลุมนี้ลึกมากกว่าสองเท่ากว่าหลุมลึกสีฟ้าอื่นๆ 

หนังสือแทบทุกเล่มมุ่งประเด็นไปยังมุมมองที่ว่า เบื้องหลังของการสูญหายนี้เกิดจากเทคโนโลยีของสิ่งทรงภูมิปัญญามากกว่าประเด็นอื่น เช่นมนุษย์ต่างดาวหรือมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้มหาสมุทรบริเวณนั้น ต่างก็หาหลักฐานและทฤษฎีมาถกเถียงกัน และบริเวณสามเหลี่ยมเบอร์มิวดามีอาณาบริเวณที่กว้างมาก ตั้งแต่ ฟลอริด้า-เปอร์โตริโก-เกาะเบอร์มิวดา กินพื้นที่ประมาณ 4.4 แสนตารางไมล์ เพราะฉะนั้นการค้นหาเพื่อพิสูจน์ในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีองค์กรของรัฐและเอกชนต่างให้ความสนใจในการสำรวจ โดยหวังว่าจะเจอหลักฐานอะไรก็ตามที่นำมาใช้ไขปริศนาของดินแดนบริเวณนี้ได้ 

Super Nova 

การะระเบิดของดวงดาว

     Super Nova  แบ่งได้เป็น 2 ประเภท ซึ่งเกิดพลังงานที่เกิดจากนิวเคลียร์ฟิวชัน หลังจากแกนกลางของดาวมีอายุมวลมากเข้าสู่การระเบิดดาว การสร้างพลังงานจากนิวเคลียร์ฟิวชัน เกิดแรงโน้มถ่วงอย่างรุนแรง ที่จะนำไปสู่การยุบตัวของดวงดาว จนอาจกลายเป็นดาวนิวตรอนหรือไม่ก็หลุมดำ การระเบิดปลดจะปล่อยพลังงานศักย์โน้มถ่วง ทำให้เกิดทั้งความร้อนและสาดผิวชั้นนอกของดวงดาวให้กระเด็นออกไป ในทางกลับกัน ดาวแคระขาวอาจสะสมเพิ่มพูนสสารจนเพียงพอจากดาวข้างเคียงกัน หรือที่เรียกว่าระบบดาวคู่ (binary star system) เป็นการเพิ่มอุณหภูมิแกนกลางจนกระทั่งเกิดฟิวชันถึงระดับของธาตุคาร์บอน แกนกลางของดาวฤกษ์ที่ร้อนระอุซึ่งอยู่ในสภาวะยุบตัวเนื่องจากมีมวลเกินค่าขีดจำกัด  แต่ว่าดาวแคระขาวจะแตกต่างตรงที่มีการระเบิดที่เล็กกว่าโดยใช้เชื้อเพลิงจากไฮโดรเจนที่ผิวของมัน เรียกว่า โนวาดาวที่มีมวลน้อย