puideedee.com

โรคของยางพาราแมลงศัตรูพืชและการป้องกันกำจัด 1

โรคของยางพาราแมลงศัตรูพืชและการป้องกันกำจัด

  โรคใบและฝักที่พบในประเทศไทยคือโรคใบร่วงและฝักเน่าโรคราแป้งโรคใบจุดนูนและโรคใบจุดตานก

โรคใบร่วงและฝักเน่าที่เกิดจากเชื้อไฟทอปโทรา (Phytophthora leaf fall and pod rot) โรคใบร่วงและฝักเน่าระบาดในช่วงเดือนพฤษภาคม– ธันวาคมเชื้อราเข้าทำลายส่วนดอกใบและฝักยางทำให้ต้นยางเปิดกรีดได้ช้าลงอาการของโรคคือใบยางจะร่วงทั้งที่ใบยังเขียวสดและใบเหลืองลักษณะเด่นคือมีรอยช้ำดำอยู่ที่ก้านใบตรกึ่งกลางรอยช้ำจะปรากฏหยดน้ำยางสีขาวเกาะอยู่เมื่อนำใบที่เป็นโรคมาสะบัดเบาๆใบย่อยจะหลุดออกฝักยางที่ถูกเชื้อเข้าจะเน่าดำคาต้นไม่ร่วงหล่นตามธรรมชาติส่วนต้นยางอ่อนเชื้อจะเข้าทำลายบริเวณยอดอ่อนทำให้ยอดเน่าแล้วเข้าทำลายก้านใบและแผ่นใบทำให้ต้นยางยืนต้นตายเชื้อราจะแพร่ระบาดโดยลมและฝนพัดพาสปอร์ไปโรคจะระบาดในสภาพอากาศเย็นฝนตกชุกความชื้นสูงต่อเนื่องอย่างน้อย 4 วันและมีแสงแดดน้อยกว่า3ชั่วโมงต่อวันการระบาดพบมากในภาคใต้ฝั่งตะวันตกและตะวันออกการป้องกันกำจัดคือควรกำจัดวัชพืชและตัดแต่งกิ่งในสวนยางให้โปร่งเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกช่วยลดความชื้นในสวนไม่ควรปลูกพืชอาศัยของเชื้อราเช่นทุเรียน  ส้มและพริกไทยร่วมในสวนยางการใช้สารเคมีควรใช้ป้องกันโรคก่อนฤดูกาลระบาดเพื่อลดความเสียหายสารเคมีที่แนะนำได้แก่เมตาแลกซิล35% SDอัตราการใช้20กรัมต่อน้ำ20ลิตรหรืออัตราการใช้12 กรัมต่อน้ำมันดีเซล20ลิตร, ฟอสเอททิลอลูมิเนียม80% WPอัตราการใช้20 กรัม ต่อน้ำ20ลิตรใช้กับต้นยางอายุน้อยกว่า2ปีโดยการฉีดพ่นพุ่มใบยางก่อนฤดูกาลระบาดทุก 7วัน, ยูเรียอัตรา0.5%ผสมสารจับใบฉีดพ่นพุ่มใบยางก่อนฤดูกาลระบาดในช่วงเย็นทุก 3วัน

  โรคราแป้งหรือโรคใบที่เกิดจากเชื้อออยเดียม (Powdery mildew or Oidium leaf Disease)

โรคราแป้งระบาดทั่วไปในช่วงต้นยางผลิใบใหม่ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์– เมษายนทำให้ใบอ่อนร่วงต้นยางชะงักการเจริญเติบโตผลผลิตลดลงลักษณะอาการของโรคคือเชื้อราจะเข้าทำลายใบอ่อนทำให้ปลายใบบิดงอเน่าเป็นสีดำและร่วงหล่นจากต้นส่วนมากเป็นใบย่อยเนื่องจากก้านใบยังติดอยู่ที่กิ่งก้านบนต้นใบระยะเพสลาดจะเกิดเป็นจุดแผลค่อนข้างใหญ่และมีขอบเขตไม่แน่นอนอยู่ด้านล่างของแผ่นใบบนรอยแผลจะเป็นปุยเส้นใยสีขาว-เทานอกจากนั้นเชื้อรายังเข้าทำลายดอกยางทำให้ดอกร่วงเป็นอุปสรรคในการปรับปรุงพันธุ์ยางในดินที่ขาดสังกะสีจะทำให้เป็นโรคได้ง่ายขึ้นเชื้อสาเหตุเกิดจากเชื้อราOidium hevea Steinm เชื้อราจะแพร่ระบาดโดยลมและแมลงจำพวกไรที่ดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบอ่อนเป็นตัวช่วยกระจายเชื้อโรคให้แพร่หลายปกติจะระบาดในระยะที่ต้นยางผลิใบใหม่ๆในขณะที่มีฝนตกปรอยๆอากาศร้อนและมีแสงแดดจัดในเวลากลางวันโรคราแป้งพบระบาดมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือการป้องกันกำจัดคือหลีกเลี่ยงการเกิดโรคโดยการเพิ่มปุ๋ยไนโตรเจนก่อนยางผลิใบใหม่เป็นการเร่งให้ต้นยางผลิใบเร็วขึ้นหรือใช้สารเคมีก่อนการเกิดโรคได้แก่บีโนมิล50% WP อัตราการใช้20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร, คาร์เบนดาซิม 50% WP อัตราการใช้ 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร, ซัลเฟอร์80% WPอัตราการใช้20กรัมต่อน้ำ20ลิตรเป็นต้น

  โรคใบจุดนูนหรือโรคที่เกิดจากเชื้อคอลเลทโทตริกัม(Colletotrichum leaf Disease)

โรคใบจุดนูนระบาดทั่วไปในช่วงเดือนพฤษภาคม-พฤศจิกายนลักษณะอาการของโรคคือใบยางอ่อนในระยะผลิใใหม่ที่ถูกเชื้อราเข้าทำลายใบจะเหี่ยวและหลุดร่วงทันทีแต่ถ้าเข้าทำลายในระยะใบเจริญขึ้นมากแล้วใบจะแสดงอาการเป็นจุดบางส่วนของใบอาจบิดงออาการของจุดบนใบยางอ่อนจะมีสปอร์ของเชื้อราเกาะอยู่คล้ายหยดไขสีชมพูสำหรับใบที่แก่เต็มที่แผ่นใบจะแสดงอาการเป็นจุดสีน้ำตาลมีขอบแผลสีเหลืองในระยะที่ฝนตกชุกเชื้อราจะเข้าทำลายยอดอ่อนและกิ่งอ่อนที่ยังเป็นสีเขียวอยู่ทำให้ยอดอ่อนเน่าดำกิ่งอ่อนแตกมีลักษณะเป็นแผลกลมเมื่อกิ่งก้านและยอดยางเป็นแผลจำนวนมากจะส่งผลให้ยอดยางนั้นแห้งตายในสภาวะอากาศที่แห้งแล้งในระยะเชื้อสาเหตุเกิดจากเชื้อราจะสร้างสปอร์เป็นจำนวนมากบนแผลเห็นเป็นสีส้มอมชมพูเมื่ออากาศมีความชื้นสูงเชื้อราแพร่ระบาดโดยลมน้ำค้างและฝนการป้องกันกำจัดคือใช้สารเคมีพ่นใบยางก่อนฤดูกาลระบาดได้แก่ไซแนบ 80% WP อัตราการใช้ 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร, คลอโรธาโลนิล 75% WP อัตราการใช้ 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร, บีโนมิล 50% WP 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรเป็นต้นโดยใช้กับต้นยางอายุน้อยกว่า 2 ปีโดยฉีดพ่นสารเคมีบนใบยางที่เริ่มผลิใบใหม่และกำลังขยายตัวจนมีขนาดโตเต็มที่ฉีดพ่นทุก 5 วันประมาณ 5-6 ครั้ง

  โรคใบจุดก้างปลา(Corynespora leaf Disease)

โรคใบจุดก้างปลาระบาดทั่วไปในช่วงเดือนเมษายน– ธันวาคมลักษณะอาการของโรคคือเชื้อราจะเข้าทำลายใบกิ่งและลำต้นทำให้ใบร่วงกิ่งหักจนถึงตายได้ใบยางอ่อนที่เชื้อเข้าทำลายจะแสดงอาการเป็นแผลจุดกลมขอบแผลสีน้ำตาลดำกลางแผลสีซีดหรือสีเทาแล้วร่วงหากเชื้อเข้าทำลายในระยะที่เป็นใบเพสลาดแผลจะขยายลุกลามเข้าไปตามเส้นใบทำให้เห็นเป็นรูปก้างปลาและจะมีสีซีดเนื้อเยื่อบริเวณรอยแผลจะเป็นสีเหลืองถึงสีน้ำตาลแล้วใบจะร่วงเชื้อสาเหตุเกิดจากเชื้อราCorynespora cassiicola  Wei เชื้อราจะแพร่ระบาดโดยลมและฝนระบาดได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้นการป้องกันกำจัดคือไม่ควรปลูกพืชอาศัยของเชื้อราเช่นงาถั่วเหลืองและมะละกอเป็นพืชแซมในแหล่งระบาดของโรคเพื่อตัดวงจรของเชื้อราอาจใช้สารเคมีพ่นใบยางก่อนฤดูกาลระบาดได้แก่ไตรดีมอร์ฟ75% EC อัตราการใช้10 ซีซี/น้ำ 20ลิตร, บีโนมิล50% WP อัตราการใช้ 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรควรใช้กับต้นยางอายุน้อยกว่า 2 ปี โดยฉีดพ่นใบยางตั้งแต่เริ่มผลิใบอ่อนทุก 7 วัน

  โรคใบจุดตานก(Bird’s eye spot)

โรคใบจุดตานกระบาดทั่วไปในเดือนเมษายน-พฤศจิกายนลักษณะอาการของโรคคือเชื้อจะเข้าทำลายใบทำให้ใบร่วงส่งผลให้ต้นยางชะงักการเจริญเติบโตลำต้นแคระแกรนขอบใบและแผ่นใบจะหงิกงอและเน่าดำแล้วร่วงเหลือแต่ยอดบวมโตแต่ถ้าใบยางมีอายุมากขึ้นจุดที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะคล้ายกับตานกลักษณะของจุดค่อนข้างกลมมีขอบแผลสีน้ำตาลล้อมรอบรอยโปร่งแสงที่บริเวณกลางจุดขนาดของจุดประมาณ 1-3 มิลลิเมตรเชื้อสาเหตุเกิดจากเชื้อราDrechslera (Helminthosporium) hevea เชื้อราจะสร้างสปอร์บนแผลด้านใต้ใบเชื้อนี้แพร่ระบาดโดยลมฝนน้ำค้างหรือจากการสัมผัสระหว่างต้นยางที่เป็นโรคภายในสวนยางโรคจะเกิดรุนแรงถ้าปลูกในพื้นที่ดินทรายการป้องกันกำจัดคือหลีกเลี่ยงการปลูกยางในดินทรายใช้สารเคมีบางชนิดในการป้องกันได้แก่แมนโคเซบ 75% WP อัตราการใช้ 48 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร, โปรพิเนบ 75% WP อัตราการใช้ 48 กรัมต่อน้ำ 20ลิตร, คลอโรธาโลนิล 75% WP อัตราการใช้ 48 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรเป็นต้นใช้พ่นใบยางอ่อนปลายยอดในระยะที่ผลิใบใหม่ทุก 7 วัน

  โรคใบไหม้ลาตินอเมริกา(South American Leaf Blight)

โรคใบไหม้ลาตินอเมริกันระบาดตลอดทั้งปีในพื้นที่ปลูกยางเฉพาะกลุ่มประเทศแถบอเมริกากลางอเมริกาใต้และหมู่เกาะคาริบเบียนเชื้อจะเข้าทำลายฝักยางดอกยางและใบยางทำให้ใบร่วงส่งผลให้ต้นยางแคระแกรนผลผลิตลดลงโรคนี้ยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทยแต่อาจแพร่ระบาดเข้ามาในประเทศได้หากไม่มีการควบคุมอย่างเข้มงวดลักษณะอาการของโรคคือใบอ่อนที่เริ่มผลิไม่เกิน 1 สัปดาห์เมื่อถูกเชื้อเข้าทำลายจะเป็นรอยแผลสีเทาใบจะบิดงอและเน่าหลุดในเวลาต่อมาใบที่มีอายุมากขึ้นแต่ยังอยู่ในใบอ่อนจะพบเส้นใยเชื้อรารวมกันเป็นกระจุกปุยสีเขียวมะกอกอยู่ด้านใต้ของแผ่นใบในระยะใบเพสลาดบริเวณแผลด้านบนใบตรงรอยแผลเดิมจะเกิดเป็นช่องโหว่ต่อมาเชื้อราจะสร้างสปอร์มีลักษณะเป็นทรงกลมสีดำอยู่ตรงขอบแผลเดิมและอยู่กันเป็นวงๆอยู่ด้านล่างของใบเชื้อสาเหตุเกิดจากเชื้อMycrocyclus uleiปัจจุบันยังไม่มีรายงานการพบโรคนี้ในพื้นที่ปลูกยางแหล่งอื่นๆนอกจากอเมริกากลางการป้องกันกำจัดในไทยวิธีที่ดีที่สุดคือป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้ามาระบาดในประเทศโดยการกักกันพืชหรือกำหนดการปลอดโรคของผู้โดยสารบนเครื่องบินที่เดินทางมาจากบริเวณที่มีโรคระบาดอย่างเข้มงวดเกษตรควรตรวจสวนยางสม่ำเสมอถ้าพบโรคที่น่าสงสัยให้นำตัวอย่างไปติดต่อกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ใกล้ที่สุดเช่นศูนย์วิจัยยางเป็นต้นกรณีที่ตรวจพบโรคให้ใช้สารเคมีไตรโคลพายร์อัตรา 320 มิลลิลิตร/ไร่พ่นใบยางเพื่อให้ใบยางร่วงแล้วด้วยการฉีดพ่นสารเคมีกำจัดเชื้อราดังนี้คือคลอโรธาโลนิล 75% WP อัตรา 160 กรัมต่อไร่, บีโนมิล 50% WP อัตรา 128 กรัมต่อไร่และแมนโคเซบ 80% WP อัตรา 240 กรัมต่อไร่

โรคของยางพาราแมลงศัตรูพืชและการป้องกันกำจัด 2

โรคเส้นดำ(Black stripe)

ระบาดในสวนยางที่เปิดกรีดแล้วโดยเฉพาะในพื้นที่ความชื้นสูงฝนตกชุกระบาดในช่วงเดือนพฤษภาคม-ธันวาคมลักษณะอาการของโรคคือเชื้อราจากฝักยางจะเข้าทำลายบนหน้ากรีดระยะแรกบริเวณเหนือรอยกรีดเป็นรอยช้ำมีสีผิดปกติระยะต่อมาจะเป็นรอยบุ๋มสีดำหรือน้ำตาลดำเป็นเส้นขยายขึ้นลงตามแนวขนานกับลำต้นถ้าเป็นรุนแรงเปลือกของหน้ากรีดบริเวณที่เป็นโรคจะปริเน่าและมีน้ำยางไหลเปลือกจะเน่าหลุดออกทำให้หน้ากรีดเสียหายถ้าการเข้าทำลายของเชื้อไม่รุนแรงเปลือกจะเป็นปุ่มปมเชื้อสาเหตุเกิดจากเชื้อราPhytophthora botryosa Chee. P. palmivora (Butler)

Butler. โรคนี้ระบาดรุนแรงในจังหวัดทางฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของภาคใต้เนื่องจากมีลมมรสุมพัดผ่านและมีฝนตกชุกในเขตดังกล่าวการป้องกันกำจัดคือไม่ควรปลูกพืชอาศัยของเชื้อราเป็นพืชร่วมยางเป็นพืชแซมเช่นทุเรียนมะพร้าวโกโก้ส้มมะละกอพริกไทยและยาสูบทาสารเคมีป้องกันโรคก่อนฤดูกาลโรคระบาดโดยการเฉือนเปลือกส่วนที่เป็นโรคเดิมออกแล้วทาแผลด้วยสารเคมีกำจัดเชื้อราดังนี้คือเมตาแลคซิล35% SD อัตรา 14 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตรพ่นหรือทาหน้ากรีดทุก 7 วัน 4-8 ครั้ง,ฟอสเอททิลเอเอล 80% WP อัตรา 5 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตรต่อต้นพ่นหรือทาหน้ากรีดยางทุก 2-4 วัน 6-8 ครั้งเป็นต้น

โรคเปลือกเน่า (Mouldy rot)

ระบาดเฉพาะในพื้นที่ที่มีความชื้นสูงและฝนตกชุกในช่วงเดือนมิถุนายน– ธันวาคมโดยเชื้อราเข้าทำลายรอยกรีดทำให้หน้ากรีดยางเน่าเสียหายอาการของโรคคือเปลือกเหนือรอยกรีดมีลักษณะฉ่ำน้ำเป็นรอยช้ำสีหม่นต่อมาเป็นรอยบุ๋มพบเส้นใยของเชื้อราสีขาวเทาเจริญตรงรอยแผลถ้ามีความชื้นเหมาะสมเชื้อราจะทำให้เปลือกหน้ากรีดเน่าเหลือแต่เนื้อไม้สีดำและไม่สามารถกรีดซ้ำบนเปลือกงอกใหม่ได้เมื่อเฉือนเปลือกบริเวณข้างเคียงรอยแผลจะไม่พบอาการเน่ลุกลามไปซึ่งต่างจากโรคเส้นดำมีลายเส้นสีดำขยายขึ้นไปและลุกลามลงใต้รอยกรีดเชื้อสาเหตุเกิดจากเชื้อราCeratocystis fimbriata Ellis & Halst.เชื้อจะแพร่ระบาดโดยลมและมีแมลงเป็นพาหะการป้องกันกำจัดคือไม่ควรปลูกพืชอาศัยของเชื้อราเป็นพืชร่วมยางหรือพืชแซมยางได้แก่กาแฟโกโก้มะม่วงมะพร้าวและมันฝรั่งควรตัดแต่งกิ่งก้านและกำจัดวัชพืชให้สวนโล่งเตียนเพื่อลดความชื้นในสวนยางเมื่อพบต้นยางเป็นโรคควรขูดเอาส่วนเป็นโรคออกแล้วใช้สารเคมีทาหน้ายางจนกว่าหน้ากรีดยางจะแห้งเป็นปกติสารเคมีที่แนะนำมีหลายชนิดเช่นบีโนมิล

อาการเปลือกแห้ง(Tapping panel dryness : TPD)

ลักษณะอาการคือหลังจากกรีดยางแล้วน้ำยางจะแห้งเป็นจุดๆค้างอยู่บนรอยกรีดเปลือกยางมีสีน้ำตาลอ่อนถ้ายังกรีดต่อไปอีกเปลือกยางจะแห้งสนิทไม่มีน้ำยางไหลเปลือกใต้รอยกรีดจะแตกขยายบริเวณมากขึ้นจนถึงพื้นดินและหลุดออกเนื่องจากเปลือกงอกใหม่ภายในดันออกมาสาเหตุของอาการยังไม่ชัดเจนแต่คาดว่าน่าจะเกิดจากการกรีดถี่ทำให้เกิดความผิดปกติทางสรีระวิทยาของท่อน้ำยางทำให้ต้นยางแสดงอาการเปลือกแห้งมากขึ้นการป้องกันและรักษาคือลดและควบคุมโรคกับต้นยางที่เปิดยางแล้วโดยวิธีทำร่องแยกส่วนที่เป็นโรคออกจากกันและเมื่อตรวจพบยางต้นใดที่เป็นโรคนี้เพียงบางส่วนจะต้องทำร่องโดยการใช้สิ่วเซาะร่องให้ลึกถึงเนื้อไม้โดยรอบบริเวณที่เป็นโรคโดยให้ร่องที่ทำนี้ห่างจากบริเวณที่เป็นโรคประมาณ 2 เซนติเมตรหลังจากนั้นก็สามารถเปิดกรีดต่อไปได้ตามปกติแต่ในการกรีดต้องเปิดกรีดต่ำลงมาจากบริเวณที่เป็นโรคเปลี่ยนระบบกรีดใหม่ให้ถูกต้องและหยุดกรีดในช่วงผลัดใบการเอาใจใส่บำรุงรักษาสวนยางให้สมบูรณ์แข็งแรงตั้งแต่เริ่มปลูกใส่ปุ๋ยถูกต้องตามจำนวนและระยะเวลาที่ทางวิชาการแนะนำใช้ระบบกรีดให้ถูกต้องจะช่วยป้องกันมิให้ยาวเป็นโรคเปลือกแห้งได้มาก

โรคราสีชมพู(Pink disease)

ระบาดในแปลงยางอ่อนและต้นยางเปิดกรีดแล้วในช่วงเดือนมิถุนายน– ธันวาคมโดยเชื้อราจะเข้าทำลายคาคบและกิ่งก้านทำให้ต้นยางทรุดโทรมและแคระแกร็นลักษณะอาการของโรคคือเปลือกที่บริเวณคาคบง่ามกิ่งกิ่งก้านและลำต้นจะปริแตกมีหยดน้ำยางไหลและมีเส้นใยเชื้อราสีขาวบนรอยแผลถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสมเส้นใยเชื้อจะรวมกันตามผิวเปลือกเป็นสีชมพูทำให้เปลือกแตกและกะเทาะออกน้ำยางไหลออกมาจากจับตามกิ่งก้านและลำต้นเมื่อน้ำยางแห้งจะมีราดำเข้าจับเป็นทางสีดำใบยางจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเชื้อสาเหตุเกิดจากเชื้อราCorticium salmonicolour Berk.& Br.สปอร์ของเชื้อราจะปลิวไปตามลมและละอองฝนการป้องกันกำจัดคือดูแลสวนให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกไม่อับชื้นไม่ควรปลูกพืชอาศัยเป็นพืชแซมในสวนยางเช่นกาแฟชาส้มเงาะและขนุนหรือใช้สารเคมีบอร์โดมิกเจอร์ทาบริเวณที่เป็นโรคไม่แนะนำใช้กับต้นยางที่เปิดกรีดแล้วเนื่องจากสารทองแดงจะไหลผสมกับน้ำยางที่กรีดได้ทำให้คุณภาพน้ำยางเสื่อมลงต้นยางที่เปิดกรีดแล้วให้ใช้สารเคมีฉีดหรือทาบริเวณที่เป็นโรคดังนี้คือเบนโนมิล 50%

โรครากขาว(White root  disease)

ระบาดในสวนยางปลูกใหม่เป็นโรคที่ทำความเสียหายให้กับต้นยางมากที่สุดในบรรดาโรครากลักษณะอาการของโรคคือทรงพุ่มแสดงอาการใบเหลืองผิดปกติ 1-2 กิ่งถ้าเป็นยางเล็กใบจะเหี่ยวเฉาขอบใบม้วนงอลงด้านล่างต่อมาจะร่วงและยืนต้นตายบริเวณรากจะปรากฏเส้นใยสีขาวติดแน่นกับผิวรากเมื่อเส้นใยอายุมากขึ้นจะเป็นเส้นกลมนูนสีเหลืองซีดดอกเห็ดของเชื้อราที่โคนต้นมีลักษณะเป็นแผ่นครึ่งวงกลมแผ่นเดียวหรือซ้อนกันเป็นชั้นๆผิวด้านบนเป็นสีเหลืองส้มโดยมีสีเข้มอ่อนเรียงสลับกันเป็นวงผิวด้านล่างเป็นสีส้มแดงหรือสีน้ำตาลขอบดอกเป็นสีขาวเชื้อสาเหตุเกิดจากเชื้อราRigidoporus lignosus

การป้องกันและรักษา

 โดยการเตรียมพื้นที่ปลูกยางจะต้องทำการถอนรากและเผาทำลายตอไม้ท่อนไม้ให้หมดเพื่อทำลายเชื้อราอันอาจทำให้เกิดโรครากขาวได้หลังจากปลูกยางประมาณ 1 ปีหมั่นตรวจดูต้นที่เป็นโรคหากไม่พบต้นที่เป็นโรคให้ป้องกันด้วยการทาสารเคมีพีซีเอ็นบี (PCNB) 20%เคลือบไว้ที่โคนต้นตรงคอดินรากแก้วและฐาน

โรครากแดงเกิดกับรากยาง รากแขนง

หากพบต้นที่เป็นโรคบริเวณโคนต้นโคนรากและรากแขนงให้ตัดหรือเฉือนทิ้งแล้วทาด้วยสารเคมีพีซีเอ็นบี(PCNB) 20%ผสมน้ำและควรทำการตรวจซ้ำในปีต่อไปถ้าพบโรครากขาวในต้นยางอายุน้อยให้ทำการขุดรากที่เป็นโรคขึ้นมาเผาทำลาย

โรครากน้ำตาล(Brown root disease)

ระบาดมากในสวนยางที่มีต้นหักโค่นเนื่องจากลมโดยสปอร์ที่ปลิวอยู่ในอากาศจะตกลงบนรอยหักแล้วลุกลามไปยังโคนต้นและรากลักษณะอาการของโรคคือทรงพุ่มมีอาการใบเหลืองผิดปกติต่อมาใบร่วงและยืนต้นตายเช่นเดียวกันกับโรครากขาวจะพบเส้นใยสีน้ำตาลปนเหลืองเป็นขุยปกคลุมผิวรากและเกาะยึดดินทรายไว้ทำให้รากมีลักษณะขรุขระเส้นใยเมื่อแก่จะเป็นแผ่นสีน้ำตาลดำในระยะที่เป็นโรครุนแรงนานเมื่อตัดตามขวางจะเห็นสายเส้นใยที่แทรกในเนื้อไม้มีลักษณะคล้ายรวงผึ้งเนื้อไม้จะเบาและแห้งดอกเห็ดจะเป็นแผ่นหนาและแข็งลักษณะครึ่งวงกลมค่อนข้างเล็กผิวด้านบนเป็นรอยย่นเป็นวงสีน้ำตาลเข้มผิวด้านล่างเป็นสีเทาเชื้อสาเหตุเกิดจากเชื้อราPhellinus noxius จะแพร่ระบาดในช่วงฤดูฝนหรือสภาพที่มีความชื้นสูงแพร่ระบาดโดยลมพัดไปตกบนรอยหักของลำต้นแล้วงอกเจริญลุกลามไปยังโคนต้นและรากและการสัมผัสกันของรากที่เป็นโรคการป้องกันและรักษาคือเตรียมพื้นที่ปลูกยางให้ปลอดโรค, หลังการปลูกควรหมั่นตรวจตราต้นยางสม่ำเสมอถ้าพบเป็นโรครากควรถอนออกทำลายทันที, ไม่ควรปลูกพืชที่เป็นพืชอาศัยของโรครากเช่นส้มโกโก้ชากาแฟมะพร้าวพริกขี้หนูมันเทศมันสำปะหลังเป็นต้นเพื่อตัดวงจรการระบาดและลดความรุนแรงของโรค

โรครากแดง(Red root disease)

ระบาดในสวนที่มีตอและรากไม้ใหญ่ๆฝังลึกในดินเนื่องจากเชื้อราเจริญเติบโตค่อนข้างช้าจึงมักพบอาการของโรครากแดงกับต้นยางที่กรีดได้แล้วเป็นส่วนใหญ่อาการของโรคคือเส้นใยของเชื้อราสาเหตุของโรคนี้จะมีสีแดงและเป็นมันปกคลุมผิวรากของยางที่เป็นโรคหากเชื้อราอยู่ในระยะเจริญเส้นใยจะมีสีขาวครีมเมื่อแก่ขึ้นจะกลายเป็นสีแดงรากยางที่เป็นโรคนี้ในระยะแรกจะมีสีน้ำตาลซีดและแข็งต่อมาเปลี่ยนเป็นสีเนื้ออ่อนเนื้อไม้ที่เป็นโรคจะพรุนอาจเปียกหรือแห้งแล้วแต่สภาพของดินเนื้อเยื่อแต่ละวงจะหลุดลุ่ยแยกออกจากกันได้ง่ายดอกเห็ดจะเป็นวงแข็งผิวด้านบนเป็นรอยย่นสีน้ำตาลแดงเข้มผิวด้านล่างเป็นสีขาวขี้เถ้ารอบๆของดอกเห็ดมีสีขาวครีมเชื้อสาเหตุเกิดจากเชื้อราGonoderma

pseudojerreumการป้องกันกำจัดคือการเตรียมพื้นที่ปลูกยางจะต้องทำการถอนรากและเผาทำลายตอไม้ท่อนไม้เพื่อทำลายเชื้อราอันอาจทำให้เกิดโรครากได้หรือหมั่นตรวจตราดูต้นที่เป็นโรคโดยการขุดโคนดูรากหลังจากปลูกยางไปแล้วประมาณ1 ปีหากไม่พบต้นที่เป็นโรคให้ทาสารเคมีพีซีเอ็นบี(PCNB) 20% เคลือบไว้ที่โคนต้นตรงคอดินรากแก้วและฐานของรากแขนงหากพบต้นที่เป็นโรคที่โคนต้นโคนรากและรากแขนงให้ตัดหรือเฉือนทิ้งแล้วทาด้วยสารเคมีPCNB 20%ผสมน้ำและควรทำการตรวจซ้ำในเวลา12 เดือนต่อมาถ้าพบโรคในต้นยางอายุน้อยให้ทำการขุดรากที่เป็นโรคขึ้นมาเผาทำลาย

โรคของยางพาราแมลงศัตรูพืชและการป้องกันกำจัด 3

แมลงและศัตรูยางพารา

1.หนอนทราย  (Grub of cockchafers )

หนอนทรายเป็นตัวอ่อนของด้วงชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์Psilophlis vestita (Sharp)มีรูปร่างเหมือนตัวC ยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร ลำตัวสั้นป้อมใหญ่ขนาดนิ้วชี้มีจุดเป็นแถวข้างลำตัวสีขาวนวลเมื่อนำมาวางบนพื้นดินตัวหนอนจะงอคล้ายเบ็ดตกปลาหนอนทรายจะเริ่มทำลายรากต้นยางขนาดเล็กมีพุ่มใบ 1-2 ฉัตรทำให้พุ่มใบมีสีเหลืองเพราะระบบรากถูกทำลายเมื่อขุดต้นยางต้นนั้นมาดูจะพบตัวหนอนทรายหนอนทรายจะกัดรากยางทำให้ต้นยางตายเป็นหย่อมๆพบมากในแปลงกล้ายางที่ปลูกในดินทราย

2.ปลวก(Termites)

ปลวกที่กัดกินรากยางชื่อวิทยาศาสตร์  Coptotermes curvignatius Holmgr.จะทำลายต้นยางโดยการกัดกินส่วนรากและภายในลำต้นจนเป็นโพรงทำให้ต้นยางยืนต้นตายโดยไม่สามารถสังเกตเห็นจากภายนอกได้จนกว่าจะขุดรากดูการป้องกันและรักษาคือใช้สารเคมีกำจัดแมลงได้แก่ออลดรินดีลดรินเฮพตา

3.หนอนทราย

คลอหรือคลอเดนในรูปของเหลวราดที่โคนต้นให้ทั่วบริเวณรากของต้นที่ถูกทำลายและต้นข้างเคียง

4.ด้วงมอดไม้  (Boring beetles)  

ด้วงมอดไม้รูปร่างทรงกระบอกยาว1-3มิลลิเมตร สีน้ำตาลด้วงมอดไม้จะเจาะทำลายกิ่งก้านและลำต้นยางทำให้เป็นรูรูที่มอดเจาะจะมีผงไม้ที่เรียกว่า ขี้มอดติดอยู่ตัวมอดอาจแพร่เชื้อราที่ติดไปกับตัวมันเข้าไปทำลายต้นยางทางบาดแผลที่เจาะไว้เมื่อสภาพอากาศเหมาะสมเชื้อราจะเจริญทำให้ต้นยางเป็นโรคและทรุดโทรมการป้องกันกำจัดคือใช้สารเคมีลินเดนอัตรา10 ซีซีผสมน้ำ 10 ลิตรฉีดพ่นบริเวณที่พบแมลง.

5.เพลี้ยหอย  (Scale insect)

ชนิดที่ทำอันตรายกับต้นยาง เมื่อตัวอ่อนออกจากไข่จะมีขาและเคลื่อนที่ได้และดูดกินน้ำเลี้ยงตามลำต้นและกิ่งก้านที่มีสีเขียวของเหลวที่เพลี้ยหอยขับถ่ายออกมานี้ถ้าหยดลงบนใบจะทำให้ใบเกิดราดำปกคลุมผิวใบทำให้ไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้การป้องกันกำจัดคือใช้สารเคมีคาบาริลอัตรา15-55กรัมผสมน้ำ20ลิตรฉีดพ่นป้องกันมดที่เป็นพาหะแพร่เพลี้ยหอยหรือใช้น้ำมันก๊าดผสมสบู่และน้ำในอัตราส่วน0.55 ลิตร : 450 กรัม : 4.5 ลิตรฉีดพ่นเพลี้ยหอยอาทิตย์ละครั้งหรือใช้สารเคมีมาลาไทออน อัตรา1.35 กิโลกรัมผสมน้ำ 400 ลิตรฉีดพ่นบริเวณที่มีเพลี้ยหอยอาทิตย์ละครั้งเป็นเวลา 3-4 ครั้ง

6.ไรพืช  (Mites)

มีสีเหลืองใสไรพืชทำลายต้นยางโดยดูดน้ำเลี้ยงใต้ใบอ่อนของต้นยางทำให้ใบอ่อนหงิกงอและร่วงหล่นไปพบไรระบาดในช่วงโรคราแป้งระบาดหรือในช่วงต้นยางผลิใบอ่อนการป้องกันกำจัดคือใช้สารเคมีคลอโรเบนซีเลทอัตรา 20-40 ซีซีผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นพุ่มใบให้ทั่ว

 การปลูกพืชแซมยาง

หมายถึงพืชที่ปลูกระหว่างแถวยางในขณะที่ต้นยางมีอายุไม่เกิน 3 ปีพืชที่ปลูกเป็นพืชล้มลุกหรือพืชอายุสั้นที่ต้องการแสงสว่างมากในการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตรวมถึงพืชล้มลุกขนาดเล็กต่างๆที่ทนต่อสภาพร่มเงาพืชแซมยางแบ่งได้เป็น 2 ประเภท

ประเภทที่ 1 พืชแซมยางที่ต้องการแสงมาก

พืชไร่ต่างๆเช่นข้าวไร่ข้าวโพดและถั่วต่างๆพืชเหล่านี้ควรปลูกห่างแถวยางพารา  ประมาณ 1 เมตรในกรณีที่เป็นอ้อยมันสำปะหลังและละหุ่ง

ประเภทที่ 2 พืชแซมยางที่ทนต่อสภาพร่มเงา

ได้แก่ขิงข่าขมิ้นไม้ดอกบางชนิดดาหลาหน้าวัวเฮลิโกเนียผักพื้นบ้านบางชนิดเช่น  ผักกูดและผักกาดนกเขาฯลฯตลอดจนเฟิร์นต่างๆ

การปลูกพืชร่วมยาง

หมายถึงพืชที่ปลูกระหว่างแถวยางขณะที่ต้นยางอายุเกิน 3 ปีโดยอาศัยร่มเงาของต้นยางในการเจริญเติบโตและผลผลิตเช่นผักเหมียงกระวานพืชสกุลระกำหวายตะค้าทองหวายกินหน่อและไม้ป่าบางชนิดไม้ผลพื้นเมืองบางชนิดได้เช่น  ละไม

( ขอขอบคุณ ..ข้อมูลจากสำนักวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน..กรมพัฒนาที่ดิน )

การจัดทำนี้ หวังเพียงเผยแพร่ข้อมูล เพื่อเป็นประโยชน์แก่สาธารณชน.. .กราบขอบพระคุณครับ..

แบบฟอร์มติดต่อกลับ

  •