โรคของยางพาราแมลงศัตรูพืชและการป้องกันกำจัด
โรคใบและฝักที่พบในประเทศไทยคือโรคใบร่วงและฝักเน่าโรคราแป้งโรคใบจุดนูนและโรคใบจุดตานก
โรคใบร่วงและฝักเน่าที่เกิดจากเชื้อไฟทอปโทรา (Phytophthora leaf fall and pod rot) โรคใบร่วงและฝักเน่าระบาดในช่วงเดือนพฤษภาคม– ธันวาคมเชื้อราเข้าทำลายส่วนดอกใบและฝักยางทำให้ต้นยางเปิดกรีดได้ช้าลงอาการของโรคคือใบยางจะร่วงทั้งที่ใบยังเขียวสดและใบเหลืองลักษณะเด่นคือมีรอยช้ำดำอยู่ที่ก้านใบตรกึ่งกลางรอยช้ำจะปรากฏหยดน้ำยางสีขาวเกาะอยู่เมื่อนำใบที่เป็นโรคมาสะบัดเบาๆใบย่อยจะหลุดออกฝักยางที่ถูกเชื้อเข้าจะเน่าดำคาต้นไม่ร่วงหล่นตามธรรมชาติส่วนต้นยางอ่อนเชื้อจะเข้าทำลายบริเวณยอดอ่อนทำให้ยอดเน่าแล้วเข้าทำลายก้านใบและแผ่นใบทำให้ต้นยางยืนต้นตายเชื้อราจะแพร่ระบาดโดยลมและฝนพัดพาสปอร์ไปโรคจะระบาดในสภาพอากาศเย็นฝนตกชุกความชื้นสูงต่อเนื่องอย่างน้อย 4 วันและมีแสงแดดน้อยกว่า3ชั่วโมงต่อวันการระบาดพบมากในภาคใต้ฝั่งตะวันตกและตะวันออกการป้องกันกำจัดคือควรกำจัดวัชพืชและตัดแต่งกิ่งในสวนยางให้โปร่งเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกช่วยลดความชื้นในสวนไม่ควรปลูกพืชอาศัยของเชื้อราเช่นทุเรียน ส้มและพริกไทยร่วมในสวนยางการใช้สารเคมีควรใช้ป้องกันโรคก่อนฤดูกาลระบาดเพื่อลดความเสียหายสารเคมีที่แนะนำได้แก่เมตาแลกซิล35% SDอัตราการใช้20กรัมต่อน้ำ20ลิตรหรืออัตราการใช้12 กรัมต่อน้ำมันดีเซล20ลิตร, ฟอสเอททิลอลูมิเนียม80% WPอัตราการใช้20 กรัม ต่อน้ำ20ลิตรใช้กับต้นยางอายุน้อยกว่า2ปีโดยการฉีดพ่นพุ่มใบยางก่อนฤดูกาลระบาดทุก 7วัน, ยูเรียอัตรา0.5%ผสมสารจับใบฉีดพ่นพุ่มใบยางก่อนฤดูกาลระบาดในช่วงเย็นทุก 3วัน
โรคราแป้งหรือโรคใบที่เกิดจากเชื้อออยเดียม (Powdery mildew or Oidium leaf Disease)
โรคราแป้งระบาดทั่วไปในช่วงต้นยางผลิใบใหม่ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์– เมษายนทำให้ใบอ่อนร่วงต้นยางชะงักการเจริญเติบโตผลผลิตลดลงลักษณะอาการของโรคคือเชื้อราจะเข้าทำลายใบอ่อนทำให้ปลายใบบิดงอเน่าเป็นสีดำและร่วงหล่นจากต้นส่วนมากเป็นใบย่อยเนื่องจากก้านใบยังติดอยู่ที่กิ่งก้านบนต้นใบระยะเพสลาดจะเกิดเป็นจุดแผลค่อนข้างใหญ่และมีขอบเขตไม่แน่นอนอยู่ด้านล่างของแผ่นใบบนรอยแผลจะเป็นปุยเส้นใยสีขาว-เทานอกจากนั้นเชื้อรายังเข้าทำลายดอกยางทำให้ดอกร่วงเป็นอุปสรรคในการปรับปรุงพันธุ์ยางในดินที่ขาดสังกะสีจะทำให้เป็นโรคได้ง่ายขึ้นเชื้อสาเหตุเกิดจากเชื้อราOidium hevea Steinm เชื้อราจะแพร่ระบาดโดยลมและแมลงจำพวกไรที่ดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบอ่อนเป็นตัวช่วยกระจายเชื้อโรคให้แพร่หลายปกติจะระบาดในระยะที่ต้นยางผลิใบใหม่ๆในขณะที่มีฝนตกปรอยๆอากาศร้อนและมีแสงแดดจัดในเวลากลางวันโรคราแป้งพบระบาดมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือการป้องกันกำจัดคือหลีกเลี่ยงการเกิดโรคโดยการเพิ่มปุ๋ยไนโตรเจนก่อนยางผลิใบใหม่เป็นการเร่งให้ต้นยางผลิใบเร็วขึ้นหรือใช้สารเคมีก่อนการเกิดโรคได้แก่บีโนมิล50% WP อัตราการใช้20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร, คาร์เบนดาซิม 50% WP อัตราการใช้ 20 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร, ซัลเฟอร์80% WPอัตราการใช้20กรัมต่อน้ำ20ลิตรเป็นต้น
โรคใบจุดนูนหรือโรคที่เกิดจากเชื้อคอลเลทโทตริกัม(Colletotrichum leaf Disease)
โรคใบจุดนูนระบาดทั่วไปในช่วงเดือนพฤษภาคม-พฤศจิกายนลักษณะอาการของโรคคือใบยางอ่อนในระยะผลิใใหม่ที่ถูกเชื้อราเข้าทำลายใบจะเหี่ยวและหลุดร่วงทันทีแต่ถ้าเข้าทำลายในระยะใบเจริญขึ้นมากแล้วใบจะแสดงอาการเป็นจุดบางส่วนของใบอาจบิดงออาการของจุดบนใบยางอ่อนจะมีสปอร์ของเชื้อราเกาะอยู่คล้ายหยดไขสีชมพูสำหรับใบที่แก่เต็มที่แผ่นใบจะแสดงอาการเป็นจุดสีน้ำตาลมีขอบแผลสีเหลืองในระยะที่ฝนตกชุกเชื้อราจะเข้าทำลายยอดอ่อนและกิ่งอ่อนที่ยังเป็นสีเขียวอยู่ทำให้ยอดอ่อนเน่าดำกิ่งอ่อนแตกมีลักษณะเป็นแผลกลมเมื่อกิ่งก้านและยอดยางเป็นแผลจำนวนมากจะส่งผลให้ยอดยางนั้นแห้งตายในสภาวะอากาศที่แห้งแล้งในระยะเชื้อสาเหตุเกิดจากเชื้อราจะสร้างสปอร์เป็นจำนวนมากบนแผลเห็นเป็นสีส้มอมชมพูเมื่ออากาศมีความชื้นสูงเชื้อราแพร่ระบาดโดยลมน้ำค้างและฝนการป้องกันกำจัดคือใช้สารเคมีพ่นใบยางก่อนฤดูกาลระบาดได้แก่ไซแนบ 80% WP อัตราการใช้ 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร, คลอโรธาโลนิล 75% WP อัตราการใช้ 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร, บีโนมิล 50% WP 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรเป็นต้นโดยใช้กับต้นยางอายุน้อยกว่า 2 ปีโดยฉีดพ่นสารเคมีบนใบยางที่เริ่มผลิใบใหม่และกำลังขยายตัวจนมีขนาดโตเต็มที่ฉีดพ่นทุก 5 วันประมาณ 5-6 ครั้ง
โรคใบจุดก้างปลา(Corynespora leaf Disease)
โรคใบจุดก้างปลาระบาดทั่วไปในช่วงเดือนเมษายน– ธันวาคมลักษณะอาการของโรคคือเชื้อราจะเข้าทำลายใบกิ่งและลำต้นทำให้ใบร่วงกิ่งหักจนถึงตายได้ใบยางอ่อนที่เชื้อเข้าทำลายจะแสดงอาการเป็นแผลจุดกลมขอบแผลสีน้ำตาลดำกลางแผลสีซีดหรือสีเทาแล้วร่วงหากเชื้อเข้าทำลายในระยะที่เป็นใบเพสลาดแผลจะขยายลุกลามเข้าไปตามเส้นใบทำให้เห็นเป็นรูปก้างปลาและจะมีสีซีดเนื้อเยื่อบริเวณรอยแผลจะเป็นสีเหลืองถึงสีน้ำตาลแล้วใบจะร่วงเชื้อสาเหตุเกิดจากเชื้อราCorynespora cassiicola Wei เชื้อราจะแพร่ระบาดโดยลมและฝนระบาดได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้นการป้องกันกำจัดคือไม่ควรปลูกพืชอาศัยของเชื้อราเช่นงาถั่วเหลืองและมะละกอเป็นพืชแซมในแหล่งระบาดของโรคเพื่อตัดวงจรของเชื้อราอาจใช้สารเคมีพ่นใบยางก่อนฤดูกาลระบาดได้แก่ไตรดีมอร์ฟ75% EC อัตราการใช้10 ซีซี/น้ำ 20ลิตร, บีโนมิล50% WP อัตราการใช้ 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรควรใช้กับต้นยางอายุน้อยกว่า 2 ปี โดยฉีดพ่นใบยางตั้งแต่เริ่มผลิใบอ่อนทุก 7 วัน
โรคใบจุดตานก(Bird’s eye spot)
โรคใบจุดตานกระบาดทั่วไปในเดือนเมษายน-พฤศจิกายนลักษณะอาการของโรคคือเชื้อจะเข้าทำลายใบทำให้ใบร่วงส่งผลให้ต้นยางชะงักการเจริญเติบโตลำต้นแคระแกรนขอบใบและแผ่นใบจะหงิกงอและเน่าดำแล้วร่วงเหลือแต่ยอดบวมโตแต่ถ้าใบยางมีอายุมากขึ้นจุดที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะคล้ายกับตานกลักษณะของจุดค่อนข้างกลมมีขอบแผลสีน้ำตาลล้อมรอบรอยโปร่งแสงที่บริเวณกลางจุดขนาดของจุดประมาณ 1-3 มิลลิเมตรเชื้อสาเหตุเกิดจากเชื้อราDrechslera (Helminthosporium) hevea เชื้อราจะสร้างสปอร์บนแผลด้านใต้ใบเชื้อนี้แพร่ระบาดโดยลมฝนน้ำค้างหรือจากการสัมผัสระหว่างต้นยางที่เป็นโรคภายในสวนยางโรคจะเกิดรุนแรงถ้าปลูกในพื้นที่ดินทรายการป้องกันกำจัดคือหลีกเลี่ยงการปลูกยางในดินทรายใช้สารเคมีบางชนิดในการป้องกันได้แก่แมนโคเซบ 75% WP อัตราการใช้ 48 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร, โปรพิเนบ 75% WP อัตราการใช้ 48 กรัมต่อน้ำ 20ลิตร, คลอโรธาโลนิล 75% WP อัตราการใช้ 48 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรเป็นต้นใช้พ่นใบยางอ่อนปลายยอดในระยะที่ผลิใบใหม่ทุก 7 วัน
โรคใบไหม้ลาตินอเมริกา(South American Leaf Blight)
โรคใบไหม้ลาตินอเมริกันระบาดตลอดทั้งปีในพื้นที่ปลูกยางเฉพาะกลุ่มประเทศแถบอเมริกากลางอเมริกาใต้และหมู่เกาะคาริบเบียนเชื้อจะเข้าทำลายฝักยางดอกยางและใบยางทำให้ใบร่วงส่งผลให้ต้นยางแคระแกรนผลผลิตลดลงโรคนี้ยังไม่เกิดขึ้นในประเทศไทยแต่อาจแพร่ระบาดเข้ามาในประเทศได้หากไม่มีการควบคุมอย่างเข้มงวดลักษณะอาการของโรคคือใบอ่อนที่เริ่มผลิไม่เกิน 1 สัปดาห์เมื่อถูกเชื้อเข้าทำลายจะเป็นรอยแผลสีเทาใบจะบิดงอและเน่าหลุดในเวลาต่อมาใบที่มีอายุมากขึ้นแต่ยังอยู่ในใบอ่อนจะพบเส้นใยเชื้อรารวมกันเป็นกระจุกปุยสีเขียวมะกอกอยู่ด้านใต้ของแผ่นใบในระยะใบเพสลาดบริเวณแผลด้านบนใบตรงรอยแผลเดิมจะเกิดเป็นช่องโหว่ต่อมาเชื้อราจะสร้างสปอร์มีลักษณะเป็นทรงกลมสีดำอยู่ตรงขอบแผลเดิมและอยู่กันเป็นวงๆอยู่ด้านล่างของใบเชื้อสาเหตุเกิดจากเชื้อMycrocyclus uleiปัจจุบันยังไม่มีรายงานการพบโรคนี้ในพื้นที่ปลูกยางแหล่งอื่นๆนอกจากอเมริกากลางการป้องกันกำจัดในไทยวิธีที่ดีที่สุดคือป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้ามาระบาดในประเทศโดยการกักกันพืชหรือกำหนดการปลอดโรคของผู้โดยสารบนเครื่องบินที่เดินทางมาจากบริเวณที่มีโรคระบาดอย่างเข้มงวดเกษตรควรตรวจสวนยางสม่ำเสมอถ้าพบโรคที่น่าสงสัยให้นำตัวอย่างไปติดต่อกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ใกล้ที่สุดเช่นศูนย์วิจัยยางเป็นต้นกรณีที่ตรวจพบโรคให้ใช้สารเคมีไตรโคลพายร์อัตรา 320 มิลลิลิตร/ไร่พ่นใบยางเพื่อให้ใบยางร่วงแล้วด้วยการฉีดพ่นสารเคมีกำจัดเชื้อราดังนี้คือคลอโรธาโลนิล 75% WP อัตรา 160 กรัมต่อไร่, บีโนมิล 50% WP อัตรา 128 กรัมต่อไร่และแมนโคเซบ 80% WP อัตรา 240 กรัมต่อไร่