puideedee.com

ไม้ยืนต้น ไม้ยางพารา ทนนาน พืชเศรษฐกิจระดับโลก

  ไม้ต้น ไม้ยืนต้น คือต้นไม้ที่มีอายุยืนยาวหลายปี ซึ่งมีลำต้นยาว กิ่งและใบในสปีชีส์ส่วนใหญ่ เป็นไม้หรือที่มีความสูงกว่าที่กำหนด บางต้นอยู่ได้หลายพันปี ต้นที่สูงที่สุดบนโลกมีความสูง 115.6 เมตร (สูงได้มากที่สุดตามทฤษฎี 130 เมตร ไม้ต้นอุบัติขึ้นบนโลกเป็นเวลาราว 370 ล้านปีแล้ว ไม้ต้นมิใช่กลุ่มทางอนุกรมวิธาน แต่เป็นกลุ่มพืชไม่เกี่ยวข้องกันที่วิวัฒนาลำต้นและกิ่งไม้เพื่อให้สูงเหนือพืชอื่นและใช้ประโยชน์จากแสงอาทิตย์ให้ได้มากที่สุด

พืชสีเขียว หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่มีคลอโรฟิลด์ และสามารถสังเคราห์แสง สร้างอาหารให้ตนเอง หรือมีระบบรากคอยดูดแร่ธาตุเสริมให้ตนเอง และมีการสืบพันธุ์ทั้งแบบอาศัยเพศ และไม่อาศัยเพศ ทั้งมีดอก และไม่มีดอก ทั้งมีเมล็ด และไม่มีเมล็ด พืชชั้นสูงบางชนิดมีโครงสร้างสลับซับซ้อน ขณะที่พืชชั้นต่ำมีโครงสร้างง่ายๆ สิ่งที่เหมือนกันในพืชทุกชนิด คือการเป็นเซลล์ปอดเพื่อฟอกอากาศให้โลก อันเนื่องมาจากการสังเคราะห์แสงของพืช จะดูดกลืนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป และคายก๊าซออกซิเจน ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ

ยางพาราการเตรียมปลูก..ประโยชน์และการแปรรูป

ในขั้นต้นยางพาราที่กรีดได้มักจะถูกนำไปแปรรูปเบื้องต้นซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก

  1. ยางแห้ง (ย่างแผ่นรมควัน ยางแท่ง ยางเครพ ยางแผ่นผึ่งแห้ง และยางสกิม)  ยางน้ำ (น้ำยางข้น หรือยางลาเท็กซ์) ก่อนจะนำไปแปรรูปในขั้นต่อไปซึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เราพบได้ในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น ยางสำหรับประกอบยานพาหนะ ยางยืดและยางรัดของ ถุงมือยางทางการแพทย์ รองเท้าและอุปกรณ์กีฬา สายพานลำเลียง ผลิตภัณฑ์ฟองน้ำ เป็นต้น

พื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนมากกว่า1,600มิลลิเมตรต่อปี

พื้นที่ส่วนใหญ่มีค่าเฉลี่ยปริมาณน้ำฝนระหว่าง1,600-2,400มิลลิเมตรต่อปีจำนวนวันฝนตก118-149วันในพื้นที่ดังกล่าวบางปีที่มีปริมาณฝนมากอาจมีปัญหาการระบาดของโรคใบร่วงที่เกิดจากเชื้อไฟทอปโทราโรคเส้นดำโรคราสีชมพูและโรคใบจุดนูนแต่การระบาดมีความรุนแรงน้อยกว่าในพื้นที่ภาคใต้เนื่องจากการกระจายตัวของฝนอยู่ในช่วงที่แคบกว่าในระหว่างเดือนพฤษภาคม / มิถุนายนถึงเดือนกันยายนจึงทำให้ลดการระบาดของโรคใบร่วงจากเชื้อไฟทอปโทรา

  1. พื้นที่ที่มีปริมาณฝนต่ำกว่า1,600มิลลิเมตรต่อปี

พื้นที่ส่วนใหญ่มีค่าเฉลี่ยปริมาณน้ำฝนระหว่าง1,056-1,599มิลลิเมตรต่อปีจำนวนวันฝนตก102-145วันการมีปริมาณน้ำฝนในระดับต่ำมีผลกระทบต่อการปลูกสร้างสวนยางในช่วงปีแรกทำให้อัตราการรอดตายต่ำต้นยางเกิดแผลไหม้เนื่องจากแสงแดดการเจริญเติบโตช้าให้ผลผลิตน้อยและอาจมีการระบาดของโรคราแป้งและโรคใบจุดนูนดังนั้นควรเลือกปลูกในช่วงที่เหมาะสมและดูแลรักษาอย่างดีสามารถปลูกได้ทุกพันธุ์ที่แนะนำยกเว้นในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคราแป้งรุนแรงไม่ควรปลูกยางพันธุ์สถาบันวิจัยยาง226และพันธุ์PB235และในพื้นที่ที่สภาพดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำดินลูกรังหรือมีชั้นดินดานไม่ควรปลูกยางพันธุ์สถาบันวิจัยยาง251 BPM24และพันธุ์BPM1

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการปลูกยางพารา  สภาพแวดล้อมต่างๆเป็นปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องโดยตรงต่อการเจริญเติบโตของต้นยางการพิจารณาเพื่อปลูกสร้างสวนยางจึงต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องและเหมาะสมดังนี้

สภาพพื้นที่และภูมิอากาศพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกยางพาราควรสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 200 เมตรซึ่งยางพาราจะเจริญเติบโตเป็นปกติคือสามารถกรีดยางได้เมื่ออายุประมาณ 6 ปีเมื่อความสูงเพิ่มขึ้นทุกๆ 100 เมตรจะทำให้ต้นยางเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ 6 เดือนแต่ในปัจจุบันพบว่าสามารถปลูกยางได้จนถึงระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 600 เมตรและควรเป็นพื้นที่ราบหรือมีความลาดเทเล็กน้อยไม่ควรเกิน 35 องศาการปลูกยางในพื้นที่ที่มีความลาดเทสูงขึ้นจะเกิดการชะล้างผิวหน้าดินสูงจนอาจเกิดแผ่นดินถล่มได้ง่ายหากมีปริมาณฝนตกหนักมากติดต่อกันหลายวันอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการปลูกยางพาราเฉลี่ยตลอดปี 28 องศาเซลเซียสและไม่ควรปลูกยางในแหล่งที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียสเพราะจะทำให้ต้นยางชะงักการเจริญเติบโตดังนั้นการปลูกยางบนที่สูงจึงมีผลต่อการเจริญเติบโตของต้นยางทั้งนี้เนื่องจากที่ระดับความสูงเพิ่มขึ้นทุกๆ 100 เมตรจะทำให้อุณหภูมิลดลง 0.5 องศาเซลเซียสยางพาราเจริญเติบโตได้ดีในแหล่งที่มีฝนตกสม่ำเสมอตลอดปีและมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย2,000 มิลลิเมตรต่อปีแหล่งปลูกยางพาราของประเทศไทยทั้งภาคใต้และภาคตะวันออกส่วนใหญ่มีปริมาณน้ำฝนมากกว่า 1,400 มิลลิเมตรต่อปีอย่างไรก็ตามในพื้นที่ที่มีปริมาณน้ำฝนต่ำกว่านี้คือมีปริมาณน้ำฝน 1,200 – 1,400 มิลลิเมตรต่อปีเช่นในพื้นที่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือก็สามารถปลูกยางพาราได้แต่ทั้งนี้ต้องมีจำนวนวันฝนตก 120- 150 วันต่อปี

ลักษณะดิน

ดินที่เหมาะสมต่อการปลูกยางพาราควรมีคุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมีเหมาะสมซึ่งคุณสมบัติทางกายภาพได้แก่ความลึกของหน้าดินปกติต้นยางจะต้องการดินที่มีหน้าดินลึกไม่น้อยกว่า 1 เมตรโดยไม่มีชั้นของหินแข็งหรือดินดานขัดขวางการเจริญเติบโตของรากมีการระบายน้ำดีไม่มีน้ำขังและระดับน้ำใต้ดินลึกกว่า 1 เมตรลักษณะโครงสร้างของดินควรเป็นดินที่มีลักษณะเป็นก้อนเหลี่ยมมุมมนมีความร่วนเหนียวพอเหมาะอุ้มน้ำได้ดีเนื้อดินควรเป็นดิน

เหนียวร่วนเหนียวร่วนหรือร่วนปนทรายกล่าวคือควรมีอนุภาคดินเหนียวอย่างน้อยประมาณ35% เพื่อให้ดินสามารถเก็บความชื้นและดูดซับธาตุอาหารได้ดีและมีอนุภาคดินทรายประมาณ 30%เพื่อให้ดินมีการระบายอากาศดีดินที่มีเนื้อดินเหมาะสมต่อการปลูกยางได้แก่ชุดดินอ่าวลึกมีเนื้อดินเป็นดินเหนียวชุดดินภูเก็ตเป็นดินร่วนเหนียวปนทรายชุดดินคอหงส์เป็นดินร่วนทรายเป็นต้นส่วนดินที่ไม่เหมาะสมกับการปลูกยางจะมีเนื้อดินเป็นดินทรายซึ่งมีอนุภาคของดินทรายประมาณ80% ดินเช่นนี้จะดูดยึดน้ำและธาตุอาหารได้น้อยทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำและขาดความชื้นในฤดูแล้งส่วนคุณสมบัติทางเคมีควรเป็นดินที่มีธาตุอาหารหลักและธาตุอาหารรองอย่างเพียงพอแต่ไม่มากเกินไปจนอาจทำให้เกิดอันตรายกับพืชความเป็นกรดเป็นด่างประมาณ 4.5-5.5 และไม่เป็นดินเกลือ

การเตรียมพื้นที่ปลูกยาง

โดยการเก็บเศษเหลือของพืชในพื้นที่ให้ออกมากที่สุดเพื่อเป็นการขจัดแหล่งแพร่เชื้อโรคโดยเฉพาะโรครากยางการ

กำจัดไม้ยืนต้นบางชนิดและการโค่นต้นยางเก่าการโค่นควรเริ่มโค่นในฤดูแล้งเพื่อสะดวกในการเก็บเศษไม้และ

ตอไม้ออกวิธีโค่นที่นิยมใช้คือโค่นด้วยแรงคนและโค่น

การไถเตรียมพื้นที่ปลูกยางด้วยเครื่องจักรกรณีใช้แรงคนโค่นจะเหลือตอซึ่งยังไม่ตายจำเป็นต้องทำลายตอเหล่านี้ให้ตายและผุพังอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการเกิดรากโดยใช้สารเคมีทารอบตอสูงจากพื้น 30 เซนติเมตรทาก่อนโค่น 1 วันสารเคมีที่ใช้คือไทรคลอเพอ 2.21 กรัมผสมน้ำ 95 ซีซีหรือการ์ลอน 5 ซีซีผสมน้ำ95 ซีซีสำหรับพื้นที่ปลูกยางใหม่ที่จะปลูกสร้างสวนยางส่วนมากเป็นพื้นที่ปลูกไม้ป่าเศรษฐกิจปลูกไม้ยืนต้นปลูกพืชไร่เช่นข้าวโพดมันสำปะหลังพื้นที่เนินเลี้ยงสัตว์และอื่นๆการเตรียมพื้นที่ให้เก็บเศษไม้ออกจากแปลงให้มากที่สุดเพื่อป้องกันการเกิดโรครากและทำการไถพลิกและไถพรวนอย่างน้อย 2 ครั้งปรับสภาพพื้นที่ให้เหมาะสมสำหรับการปลูกสร้างสวนยางสำหรับพื้นที่ลาดเอียงมากกว่า 15 องศาจะต้องวางแนวปลูกตามขั้นได

การวางแนวปลูก

การวางแนวปลูกหมายถึงการกำหนดแถวปลูกว่าจะปลูกยางไปทิศทางใดทั้งนี้เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับต้นยางป้องกันการชะล้างผิวหน้าดินสะดวกในการกรีดและการเก็บน้ำยางมีวิธีปฏิบัติ 3 ขั้นตอนดังนี้

การกำหนดระยะปลูก

ระยะปลูกที่เหมาะสมสำหรับการปลูกยางพาราในพื้นที่ราบแหล่งปลูกยางเดิมควรเป็น2.5x8 เมตรหรือ3x7เมตรโดยมีจำนวนต้นยาง 80ต้นหรือ 76 ต้นต่อไร่ตามลำดับสำหรับการปลูกยางในแหล่งปลูกยางใหม่ควรเป็น 2.5x7 เมตรหรือ 3x6 เมตรหรือ 3x7 เมตรโดยมีจำนวนต้นยาง 91 ต้นหรือ 88 ต้นหรือ 76 ต้นต่อไร่ตามลำดับทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดินในสภาพพื้นที่ดินที่อุดมสมบูรณ์สูงควรปลูกระยะห่างมีจำนวนต้นต่อไร่น้อยกว่าในสภาพพื้นที่ดินขาดความอุดมสมบูรณ์สำหรับระยะปลูกในพื้นที่ลาดเทควรเป็น 3x8 เมตรมีจำนวนต้นยาง 67 ต้นต่อไร่

การกำหนดแถวหลัก การกำหนดระยะปลูกยาง

การกำหนดแถวหลักของต้นยางควรวางแถวหลักให้ขวางทางการไหลของน้ำเพื่อลดการชะล้างหน้าดินและการพังทลายของดินการกำหนดแถวหลักให้ห่างจากแนวเขตสวนเก่าไม่น้อยกว่า 1.5 เมตรและขุดคูตามแนวเขตสวนเพื่อป้องกันโรครากและการแก่งแย่งธาตุอาหารหลังจากนั้นวางแนวปลูกพร้อมทั้งปักไม้ชะมบตามระยะปลูกที่กำหนดสำหรับพื้นที่ลาดเทมากกว่า15 องศาจะต้องวางแนวปลูกตามแนวระดับและทำขั้นบันได

การขุดหลุม

เมื่อปักไม้ชะมบตามระยะปลูกเรียบร้อยแล้วขุดหลุมโดยขุดดินด้านใดด้านหนึ่งของไม้ชะมบโดยตลอดไม่

ต้องถอนไม้ออกหลุมที่ขุดมีขนาด50x50x50 เซนติเมตรดินที่ขุดควรแบ่งเป็น2ชั้นนำดินชั้นบนใส่ไว้ก้นหลุมและดินชั้นล่างผสมหินฟอสเฟตอัตรา170กรัมต่อหลุมใส่ไว้ด้านบนการบำรุงต้นยางให้เจริญเติบโตและเพิ่มผลผลิตยางพาราต้องมีการใส่ปุ๋ยไนโตรเจนโพแทสเซียมฟอสฟอรัสและแมกนีเซียมโดยที่ไนโตรเจนและโพแทสเซียมเป็นธาตุที่สูญเสียง่ายจากการชะล้างพังทลายและสูญเสียไปกับน้ำยางมีรายงานว่าปริมาณธาตุอาหารที่สูญเสียไปในรูป

ของเนื้อยางแห้ง 232 กิโลกรัมต่อไร่จะเป็นไนโตรเจนฟอสฟอรัสและโพแทสเซียม 3.8 กิโลกรัมต่อไร่ 0.77 กิโลกรัมต่อไรและ 5.8 กิโลกรัมต่อไร่ตามลำดับดินปลูกยางพาราส่วนใหญ่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำการปลูกยางซ้ำที่เดิมในสวนยางจะทำให้ปริมาณธาตุอาหารในดินลดลงดังนั้นจึงจำเป็นต้องใส่ปุ๋ยเพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ต้นยางและรักษาระดับความอุดมสมบูรณ์ของดิน

การใส่ปุ๋ยยางพาราและการเปิดกรีด

การใส่ปุ๋ยยางพาราก่อนเปิดกรีด ปุ๋ยที่ใส่ตั้งแต่เริ่มปลูกจนต้นยางโตได้ขนาดกรีดปุ๋ยที่ใช้ได้แก่

1.ปุ๋ยรองก้นหลุมเป็นปุ๋ยที่เร่งให้รากงอกและแผ่ขยายเร็วปุ๋ยรองก้นหลุมที่แนะนำใช้ในสวนยางได้แก่ปุ๋ยหินฟอสเฟต(0-3-0) มีปริมาณฟอสเฟตทั้งหมดประมาณร้อยละ25มีปริมาณฟอสเฟตที่เป็นประโยชน์ร้อยละ3วิธีใส่ปุ๋ยรองก้นหลุมโดยขุดดินแยกเป็น2ส่วนคือดินชั้นบนและดินชั้นล่างใช้ดินบนกลบลงในหลุมก่อนส่วนดินล่างใช้คลุกกับปุ๋ยหินฟอสเฟตอัตรา170 กรัมต่อหลุมแล้วกลบดินล่างที่คลุกปุ๋ยลงไปให้เต็มหลุมในเขตแห้งแล้งแนะนำให้ใส่ปุ๋ยอินทรีย์รองก้นหลุมอัตรา5กิโลกรัมต่อตันร่วมกับปุ๋ยหินฟอสเฟตซึ่งจะมีผลทำให้ต้นยางมีอัตราการรอดตายสูงและการเจริญเติบโตในช่วงแรกดีขึ้น

2.ปุ๋ยบำรุงเป็นปุ๋ยที่ใส่เพื่อเร่งให้ต้นยางเจริญเติบโตเร็วสามารถเปิดกรีดได้เร็วขึ้นปุ๋ยบำรุงที่แนะนำใช้ในสวนยางก่อนเปิดกรีดจำนวน 2 สูตรคือสูตร20-8-20สำหรับดินทุกชนิดในแหล่งปลูกยางเดิมและสูตร20-10-12สำหรับดินทุกชนิดในแหล่งปลูกยางใหม่สูตรปุ๋ยสำหรับดินปลูกยางในแหล่งปลูกยางเดิมอัตราปุ๋ยที่ใช้จะแตกต่างกันตามชนิดของเนื้อดินส่วนในแหล่งปลูกยางใหม่แนะนำให้ใช้อัตราปุ๋ยเหมือนกันในดินทุกชนิดและควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมี

   ปีที่     

 

       ปลูกยางเดิม  (กรัม/ต้น)

           ปลูกยางใหม่      (กรัม/ต้น)

 

 

   อายุต้นยาง / เดือน

                  ปุ๋ยเคมี 20-8-20     

       แหล่งปุ๋ยเคมี

         20-10-12

      ปุ๋ยอินทรีย์

 

 

 

   ดินร่วนเหนียว

      ดินร่วนทราย

         ดินทุกชนิด

      ดินทุกชนิด

       1

                2

            70

           100

              60

            1

 

                5

          100

           140

              80

            -

 

              11

          130

           170

            100

            -

       2

              14

          150

           200

            110

            2

 

              16

          150

           210

            110

            -

 

              23

          150

           210

            120

            -

       3

              28

          230

          320

            180

            2

 

              36

          230

          320

            180

            -

       4

              40

          240

          330

            180

            2

 

              47

          240

          330

            180

            -

       5

              52

          260

          360

            200

            2

 

              59

          260

          360

            200

             -

 

              64

          270

          370

            200

            2

       6

              71

          270

          370

            200

            -

ระยะเวลาใส่ปุ๋ยอาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับความชื้นในดินในขณะที่ต้นยางยังเล็กควรใส่ปุ๋ยรอบๆ บริเวณโคนต้นในรัศมีทรงพุ่ม หลังจากนั้นเมื่อต้นยางมีอายุ 2 ปี ขึ้นไปให้ใส่เป็นแถบ 2 ข้าง ในระหว่างแถวยางตามแนวทรงพุ่มของต้นยางแล้วคราดกลบให้ปุ๋ยอยู่ใต้ผิวดินหรือขุดหลุมลึกประมาณ 5-10 เซนติเมตรจากผิวดิน จำนวน 2 หลุมต่อต้น
การใส่ปุ๋ยยางพาราหลังเปิดกรีด
        ปุ๋ยยางพาราหลังเปิดกรีดที่แนะนำ คือ ปุ๋ยสูตร 30-5-18 ใช้ได้กับดินทุกชนิดทั้งในแหล่งปลูกยางเดิมและแหล่งปลูกยางใหม่ส่วนในดินที่ขาดธาตุแมกนีเซียม ที่มีปริมาณแมกนีเซียมในดินต่ำกว่า 0.30 meq / ดิน 100 กรัม ควรใส่ปุ๋ยคีเซอไรท์ (26% MgO) เพิ่มในอัตรา 80 กรัมต่อต้นต่อปี การใส่ปุ๋ยให้แก่ต้นยางที่เปิดกรีดแล้วแนะนำให้ใส่ปุ๋ยอัตรา 1 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี แบ่งใส่ 2 ครั้ง ครั้งละ 500 กรัมต่อต้น ครั้งแรกใส่ในต้นฤดูฝนหลังจากยางผลัดใบระยะที่ใบเพสลาด คือประมาณปลายเดือนเมษายน – พฤษภาคม และครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ยในเดือนสิงหาคม – กันยายน โดยหว่านปุ๋ยห่างจากโคนต้นประมาณ 3 เมตร หรือบริเวณกึ่งกลางระหว่างแถวยาง แล้วคราดกลบให้ปุ๋ยอยู่ใต้ผิวดินที่ระดับความลึกประมาณ 5-10 เซนติเมตร

 

( ข้อมูลจากสำนักวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน..กรมพัฒนาที่ดิน )