puideedee.com

การทํานาเปียกสลับแห้งเพื่อเพิ่มปริมาณและคณภาพผลผลิตสูง และลดตันทุน มี แนวทางปฏิบิตดังต่อไปนี้ ก. การเตรียมดิน · ลดการเผาตอซังและปรับปรุงคุณภาพดินด้วยปุ๋ยพืชสด โดยก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิตให้หว่านปอเทืองในวันที่มีการเก็บเกี่ยว แล้วรถเกี่ยวจะกระจายฟางเพื่อให้ คุมดินรักษาความชื้นไว้และไม่ต้องทําการไถกลบ เมล็ดปอเทืองก็จะงอกภายใน 3 วัน เมื่อปอเทืองออกดอก (50-60 วันหลังหว่าน) จึงทําการไถกลบเป็นปุ๋ยพืชสดต่อไป การเตรียมดินเมื่อปอเทืองออกดอกจะทําการไถกลบ หมักเทือกโดยใช้สารชีวภาพเร่งการย่อยสลาย ของปอเทือง ฟางข้าว และเศษวัชพืช โดยปกติฟางข้าวจะย่อยเองได้ 15-20 วัน แต่หากใช้สารชีวภาพช่วยเร่ง จะย่อยได้ 7 วัน · การหมักฟางข้าวกําจัดข้าวเรื้อ และกําจัดวัชพืชในแปลงนา มีขั้นตอนในการเตรียมดิน ดังนี้ Ø ใส่น้ำในแปลงนาเพื่อให้วัชพืชและข้าวเก่างอกก่อนแล้วใช้รถย่ำหมักฟางไว้ก่อนโดยใช้ยูเรีย ประมาณ ๔ กิโลกรัม ร่วมกับกากน้ำตาลประมาณ ๒ กิโลกรัม/ไร่ หว่านลงแปลงนา ทําการย่ำเทือกแล้ว หมักไว้ประมาณ ๕ วัน ฟางและวัชพืชจะย่อยสลาย Ø ใช้น้ำจุลินทรีย์จากน้ำซาวข้าวใส่ในแปลงนาประมาณ ๑ ลิตรต่อพื้นที่ ๑ ไร่ เพื่อช่วยเร่งการ ย่อยสลายของเศษวัชพืช ฟางข้าว ข้าวเรื้อ และปอเทือง หมักไว้ประมาณ ๕ วัน Ø ใช้น้ำหมักจุลินทรีย์หน่อกล้วยใส่ในแปลงนาประมาณ ๑ ลิตรต่อพื้นที่ ๑ ไร่ เพื่อช่วยเร่ง การย่อยสลายของเศษวัชพืช ฟางข้าว ข้าวเรื้อ และปอเทือง และทําลายการสะสมของสารเคมีหมักไว้ ประมาณ ๗ วัน *สูตรการทําน้ำหมักจุลินทรียหน่อกล้วย* หน่อกล้วยพร้อมเหง้าขนาดความสูงไม่เกิน 1 เมตร จํานวน ๒-๓ หน่อ ถังหมักขนาด 100 ลิตร จํานวน ๑ ถัง กากน้ำตาล จํานวน ๑ ลิตร น้ำสะอาด จํานวน ๑๐ ลิตร หมักทิ้งไว้อย่างน้อย ประมาณ ๒๑ วัน อัตราส่วนที่ใช้ ๑๐ ซีซี / น้ำ ๒๐ ลิตร Ø ทําการย่ำทําเทือก อีกครั้งและปรับพื้นที่ให้มีความเรียบเสมอ Ø ชักร่องในแปลงระยะห่างระหว่างร่อง ประมาณ 3 เมตร เพื่อสะดวกในการดูแล การกําจัด พันธุ์ปะปน การใส่ปุ๋ย ฉีดสารชีวภัณฑ์ Ø ระบายน้ำออกให้หมดแล้วหว่านเมล็ดพันธุ์ (สําหรับการทํานาหว่านน้ำตม)

 

  1. ช่วงเตรียมดิน ควรปลูกพืชตระกูลถั่ว เพื่อเพิ่มปุ๋ยและอินทรียวัตถุ และไถกลบช่วงออกดอก หลังจากนั้นปล่อยน้ำเข้านาระดับ 5 เซนติเมตร นาน 20 วัน แล้วทำเทือกเตรียมหว่านพันธุ์ข้าว หรือโยนกล้า
  2.  2. ช่วงเริ่มปลูก ระยะข้าว 1-2 วัน จะทำการระบายน้ำออก
  3.  3. ช่วงระยะเจริญเติบโต ระยะข้าว 3-35 วัน ให้น้ำในระดับ 5 เซนติเมตรสม่ำเสมอ และช่วงที่ข้าวอายุ 25 วัน เริ่มใส่ปุ๋ย (ผมมีสูตรสำหรับผู้ที่จะทำการผสมปุ๋ยเอง ดังนี้ ใช้ ไนโตรเจน 6 ส่วน ฟอสเฟต 4 ส่วน โพแทสเซียม 6 ส่วน อัตรา 27 กก. ต่อไร่) ช่วงระยะข้าว 36-45 วัน จะทำการปล่อยน้ำในนาจนแห้ง (ดินแตกระแหง) เพื่อส่งเสริมให้รากลงลึก แข็งแรง แตกกอดี และป้องกันโรคและแมลง ระยะข้าว 46-90 วัน ให้น้ำในระดับ 5เซนติเมตร ช่วงนี้จะใส่ปุ๋ยแต่งหน้า (ไนโตรเจน 1.5 กก. ต่อไร่) เพื่อบำรุงต้น เร่งดอก ถ้าน้ำลดลงหรือแห้งให้เติมน้ำจนถึงช่วงข้าวโน้มรวง หรือข้าวก้ม ปล่อยน้ำออกให้แห้ง รอการเก็บเกี่ยว นายสุภาพ กล่าวเพิ่มเติมว่า การทำนาแบบเปียกสลับแห้งก็มีข้อจำกัดเช่นกัน คือ 1. ทำได้ในพื้นที่ที่ควบคุมน้ำได้ และมีต้นทุนการเอาน้ำเข้านาต่ำ เช่น พื้นที่ชลประทาน 2. ไม่เหมาะสำหรับพื้นที่ดินเค็ม อาจทำให้ข้าวตายได้ 3. งดเว้นการปล่อยน้ำให้แห้ง “ช่วงข้าวตั้งท้อง”
  4. 4. ดินที่เหมาะสม คือ ดินที่ไม่เผาตอฟาง (มีอินทรียวัตถุในดินให้ข้าวเลี้ยงตัวระหว่างหน้าดินแล้ง) เรามักจะมองข้ามสิ่งที่ธรรมชาติให้มา ได้แก่ ดิน น้ำ อากาศและแสงแดด พึ่งพาแต่ปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย ยา ฯลฯ ทำให้สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ใช้ศักยภาพอย่างที่ควรจะเป็น แต่ระบบผลิต “เปียกสลับเเห้ง...แกล้งข้าว" เป็นการใช้ "ฟิสิกส์-วิธีกล" ทำนา เราจึงให้ความสำคัญกับทรัพยากรทางกายภาพที่มีในพื้นที่อย่าง "ดิน- น้ำ -อากาศ- แสงเเดด" ได้ทำงานกันอย่างเต็มที่ แต่การทำนา “เปียกสลับแห้ง..แกล้งข้าว” ก็มีประโยชน์มากมายไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มศักยภาพของต้นข้าว ต้นข้าวมีความแข็งแรงหากินเก่ง ต้านทานต่อโรคและแมลง (ทำให้ใช้ปุ๋ยและสารเคมีลดน้อยลง ) สร้างผลผลิต (เพิ่มราก เพิ่มลำ/หน่อ เพิ่มรวง เพิ่มน้ำหนัก เพราะรากขยัน) อีกทั้งยังใช้น้ำน้อย เพราะการหมัก การแช่น้ำขัง ในแปลงนาต่อเนื่อง ไม่ปล่อยให้แห้ง เป็นที่มาของการใช้ สารเคมีทำให้ระบบนิเวศน์ถูกทำลายและยังทำลายคุณภาพชีวิตในระบบการผลิตข้าวอีกด้วย และพื้นดินไม่หล่ม ทำให้ชาวนาลงไปจัดการกับแปลงนาของตนเองได้ง่ายขึ้น เช่น ตัดพันธุ์ปน กำจัดวัชพืชก็ทำได้โดยง่าย เป็นต้น สำหรับการหว่านปุ๋ย สามารถทำตอนน้ำแห้งได้เลย ซึ่งเป็นการให้ปุ๋ยตอนข้าวกำลังหิว เมล็ดปุ๋ยจะไหลไปตามซอกระแหงของดิน พอเติมน้ำเข้าไป ข้าวสามารถนำไปใช้ได้อย่างเต็มที่ (ทำให้เราใช้ปุ๋ยน้อยลง) แต่การใช้วิธีปักดำ จะช่วยให้ข้าวได้แสงแดดและอากาศเต็มที่ ทำให้ข้าวไม่อัดแน่นจนเกินไปจึงแตกกอได้ดีมีพื้นที่หากิน ไม่แย่งอาหารกัน และช่วยประหยัดค่าเมล็ดพันธุ์ได้มากถึง (ร้อยละ 70 ต่อไร่เลยทีเดียว) และเมื่อเกิดการแตกระแหงของดิน จะทำให้ก๊าซมีเทนในนาข้าวลดลง ทำให้รากได้รับออกซิเจนเต็มที่ สำหรับระบบรากนาดำ จะไม่ลอยหาอาหารหน้าผิวดินเหมือนนาหว่าน แต่รากจะหากินลึกจึงช่วยยึดลำต้นทำให้ข้าวไม่ล้มตอนเก็บเกี่ยว และที่สำคัญช่วย ลดต้นทุนค่าสูบน้ำเข้านา เพราะชาวนาจะใช้น้ำเท่าที่จำเป็นต่อนาข้าว จึงไม่เกิดการทะเลาะเพราะเรื่องแย่งน้ำกัน เมื่อความชื้นในนามีน้อยก็จะช่วยลดการระบาดของโรค แมลงทำให้หมดปัญหาเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลอีกด้วย ทำให้ผลที่ได้จากการวางระบบการใช้น้ำในนาข้าวของนายสุภาพ โนรีวงศ์ ซึ่งใช้เทคนิคการให้น้ำแบบเปียกสลับแห้ง เพื่อลดต้นทุนการผลิตข้าวและใช้น้ำอย่างมีคุณค่า เหมาะสมกับความต้องการของข้าวในสภาวะที่น้ำธรรมชาติและน้ำชลประทานมีจำกัด เกษตรกรสามารถนำภูมิปัญญาแนวทางหรือวิธีการดังกล่าวไปปรับใช้ในนาของตนเอง เพื่อสามารถรับมือและจัดการกับปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้งได้ ทั้งนี้วิธีการหรือแนวทางดังกล่าวยังเป็นการช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต เพิ่มคุณภาพ และเป็นการทำการตลาดในอีกรูปแบบหนึ่งด้วย          ขอขอบคุณ RYT9.COM เป็นเว็บไซต์ที่นำเสนอและเผยแพร่ข้อมูลข่าว