puideedee.com

พืชผักสวนครัว@สมุนไพรไทยน่ารู้*สรรพคุณและประโยชน์ 

  การปลูกพืชผักสวนครัวและในหลายๆชนิดที่เป็นยาสมุนไพรของไทย ทุกอย่างมี 2 ด้านหากใช้อย่างถูกวิธี ก็จะเกิดประโยชน์อย่างมากมาย ส่วนวิธีการปลูกหากทำเองก็สามารถควบคุมความสะอาดและปลอดภัยได้ โดยเฉพาะการใช้อินทรีย์ชีวภาพ อย่างนาโน วายไอซี

การปลูกผักแต่ละชนิดนั้นผู้ปลูกจำเป็นต้องเข้าใจถึงลักษณะการเจริญเติบโตของผักชนิดต่างๆก่อนเพื่อให้การปลูกและการดูแลรักษาพืชผักให้เหมาะสมกับชนิดของผักเทคนิคการปลูกผักสวนครัวจึงควรทราบดังนี้

1. ตระกูลแตงและตระกูลถั่วได้แก่แตงกวาแตงโม  ฟักทองบวบน้ำเต้ามะระถั่วฝักยาวถั่วแขกและถั่วอื่นๆ

- ผักต่างๆเหล่านี้มีเมล็ดค่อนข้างใหญ่งอกเร็วเช่นผักประเภทเลื้อยถ้าจะปลูกให้ได้ผลดีและดูแลรักษาง่ายควรทำค้าง

- วิธีการปลูกหยอดเมล็ดโดยหยอดในแปลงปลูกหรือภาชนะปลูกหลุมละ 3 – 5 เมล็ด

- เมื่อเมล็ดงอกมีใบจริง 3 – 5 ใบหลังจากนั้นถอนแยกให้เหลือเฉพาะต้นที่แข็งแรงหลุมละ 2 ต้น

- ใส่ปุ๋ยยูเรียหลังเมล็ดงอก 2 อาทิตย์เมื่อเริ่มออกดอกใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 12-24-12

- ให้น้ำสม่ำเสมอคอยดูแลกำจัดวัชพืชและแมลงต่างๆ

- เริ่มเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 40 – 60 วันหลังหยอดเมล็ด

2. ตระกูลกะหล่ำและผักกาดได้แก่คะน้ากวางตุ้ง ผักกาดขาวผักกาดหัวกะหล่ำดอกกะหล่ำปลีและบล๊อกโคลี

- ผักตระกูลนี้มีเมล็ดค่อนข้างเล็กบางชนิดมีราคาแพงมากเพราะส่วนใหญ่ต้องสั่งเมล็ดมาจากต่างประเทศ

- วิธีปลูกหยอดเมล็ดเป็นหลุมๆละ 3-5 เมล็ดห่างกันหลุมละ 20 เซนติเมตรหรือโรยเมล็ดบางๆเป็นแถวห่างกันแถวละ 20 เซนติเมตรหลังหยอดเมล็ดหรือโรยเมล็ด 10 วันหรือเมื่อมีใบจริง 2-3 ใบถอนแยกให้เหลือหลุมละ 2 ต้นหรือหากโรยเมล็ดเป็นแถวให้ถอนอีก  ระวังระยะต้นไม่ให้ชิดกันเกินไป

- ใส่ปุ๋ยยูเรียหลังจากถอนแยกหรือทำระยะปลูกแล้ว

- หลังใส่ปุ๋ยครั้งแรก 10 วันใส่ปุ๋ยยูเรียครั้งที่สอง

- อายุเก็บเกี่ยวผักแต่ละชนิดแตกต่างกันเล็กน้อยเช่น  คะน้ากวางตุ้งเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 30-45 วันผักกาดหัว45-55 วันผักกาดขาวปลีเขียวปลีกะหล่ำดอกกะหล่ำปลีอายุเก็บเกี่ยวประมาณ 50-60 วันหลังหยอดเมล็ด

- เมื่อเก็บเกี่ยวไม่ควรถอนผักทั้งต้นเก็บผักให้เหลือใบทิ้งไว้กับต้น 2-3 ใบต้นและใบที่เหลือจะสามารถเจริญเติบโตให้ผลผลิตเก็บเกี่ยวได้อีก 2-3 ครั้ง

- ข้อควรระวังต้องให้น้ำสม่ำเสมอผักตระกูลนี้มักมีปัญหาโรคและแมลงค่อนข้างมากต้องคอยดูแลเอาใจใส่ใกล้ชิด

( ข้อมูลขาก สำนักงานเกษตรอำเภอเสนา )

 

3. ตระกูลพริก-มะเขือได้แก่พริกขี้หนูพริกชี้ฟ้ามะเขือเปราะมะเขือยาวมะเขือพวงมะเขือเทศ

- ผักตระกูลนี้ควรมีการเพาะกล้าก่อนย้ายปลูกในแปลง

- การเพาะกล้าเตรียมดินในกะบะเพาะหรือในถุงพลาสติก

- หยอดเมล็ดในถุงเพาะถุงละ 3 – 5 เมล็ดถ้าเพาะในกะบะเพาะควรเว้นระยะระหว่างต้น 5 เซนติเมตรระหว่างแถว 10 เซนติเมตร

- เมื่อเมล็ดงอกแล้วมีใบจริง 2-3 ใบถอนแยกเหลือต้นกล้าแข็งแรงสมบูรณ์ไว้ 2 ต้น

- เมื่อกล้ามีใบจริง 5-6 ใบหรือหลังเพาะกล้าประมาณ30 วันย้ายกล้าลงแปลงปลูก

- เมื่อต้นกล้าตั้งตัวได้หรือเริ่มเจริญเติบโตใส่ปุ๋ยยูเรีย 1ครั้ง

- เมื่อต้นเริ่มออกดอกใช้ปุ๋ย 15-15-15 หรือ 12-24-12

- อายุเก็บเกี่ยวมะเขือเทศประมาณ 50-60 วันหลังย้าย กล้าและพริกมะเขือประมาณ 60-75 วันหลังย้ายกล้า

4. ตระกูลผักชีและตระกูลผักบุ้งได้แก่ผักชีขึ้นฉ่าย  ผักบุ้ง

- ควรนำเมล็ดแช่น้ำก่อนปลูกถ้าเมล็ดลอยให้ทิ้งไปและนำเมล็ดที่จมน้ำมาเพาะ

- หว่านเมล็ดในแปลงโดยจัดแถวให้ระยะห่างกัน 15- 20 เซนติเมตรกลบดินทับบางๆประมาณ 1 เซนติเมตรสำหรับขึ้นฉ่าย

- ผักบุ้งจะงอกใน 3 วันผักชีประมาณ 4-8 วันและขึ้นฉ่าย 4-7 วัน

- เมื่อกล้างอกมีใบจริงถอนแยกและพรวนดินให้โปร่งเสมอจนเก็บเกี่ยว

- ผักบุ้งจีนเก็บเกี่ยวได้ภายใน 15-20 วันผักชี 45-60 วันและขึ้นฉ่าย 60-70 วัน

- สำหรับผักชีและขึ้นฉ่ายไม่ชอบแสงแดดจัดอาจปลูกในที่ๆมีร่มเงาได้แต่สำหรับผักบุ้งจีนต้องการแสงแดดตลอดวัน

5. ตระกูลโหระพากะเพราแมงลักและตระกูลผักชีฝรั่งได้แก่โหระพากะเพราแมงลักและผักชีฝรั่ง

- เตรียมดินให้ละเอียดหว่านเมล็ดให้ทั่วแปลงใช้ฟางกลบหรือปุ๋ยคอกที่ย่อยสลายดีแล้วโรยทับบางๆรดน้ำตามทันทีด้วยบัวรดน้ำตาถี่

- เมล็ดจะงอกเป็นต้นกล้าภายใน 7 วัน

- เมื่อกล้าอายุ 1 เดือนถอนแยกจัดระยะต้นให้โปร่งหรือใช้ระยะระหว่างต้นประมาณ 20-30 เซนติเมตร

- โหระพากะเพราแมงลักเก็บเกี่ยวได้หลังหยอดเมล็ด  45-50 วันผักชีฝรั่งเก็บเกี่ยวได้หลังหยอดเมล็ด 60 วัน

- สำหรับโหระพากะเพราและแมงลักในระหว่างการเจริญเติบโตให้หมั่นเด็ดดอกทิ้งเพื่อให้ลำต้นและใบเจริญเติบโตได้เต็มที่

- ผักชีฝรั่งตัดใบไปรับประทานเหลือลำต้นทิ้งไว้จะสามารถเจริญเติบโตได้อีก

 ข้อมูลจากสำนักงานเกษตรอำเภอเสนา

 เรพสีดเป็นพืชล้มลุกฤดูเดียวหรือปลูกข้ามปีระบบรากบางชนิดมีรากแก้วเจริญเป็นหัวรูปกระสวยมีลำต้นอวบใหญ่สูง 90 - 150 ซม. ใบเดี่ยวเรียงตัวแบบสลับมีนวลปกคลุมแผ่นใบใบล่างมีลักษณะขอบใบจักแบบขนนกที่มีพูบนสุดใหญ่กว่าพูล่างๆ (lyrate) ก้านใบยาว 10 - 30 ซม. แผ่นใบเกลี้ยงหรือมีขนแข็งเล็กน้อยใบส่วนยอดรูปหอกไม่มีก้านใบขอบใบเรียบดอกออกเป็นช่อแบบกระจะ (raceme) แตกช่อแขนงมากดอกย่อยสีเหลืองขนาด 1.2 - 1.5 ซม. ผลเป็นฝักแบบ silique กว้าง 2.5 - 4.0 ซม. มีจงอยที่ปลายฝักภายในมีเมล็ดขนาดเล็กกลมสีน้ำตาลจนถึงสีดำน้ำหนัก 1,000 เมล็ดหนัก 3 - 4 กรัม

ประโยชน์ของเรพสีด

เมล็ดเรพสีดมีน้ำมัน 40 - 44% น้ำมันเรพสีดพันธุ์พื้นเมืองมีกรดอีรูซิค (erucic acid) สูงถึง 50% ซึ่งเป็นพิษอ่อนๆต่อมนุษย์หากรับประทานในปริมาณมากและกลูโคไซโนเลท (glucosinolates) ซึ่งเป็นสารประกอบทางเคมีที่ทำให้คุณค่าทางโภชนาการลดลงและเป็นพิษเมื่อนำไปทำเป็นอาหารสัตว์ในปี 1979 ประเทศแคนาดาโดย The Western Canadian Oilseed Crushers Association ได้พัฒนาและจดทะเบียนสายพันธุ์เรพสีดที่มีปริมาณกรดอีรูซิคและกลูโคไซโนเลทต่ำเรียกสายพันธุ์นี้ว่า คาโนลา (canola) ซึ่งย่อมาจากCan.O.,L-A หรือ Canadian Oilseed Low-Acid ในปัจจุบันคาโนลาจะหมายถึงสายพันธุ์เรพสีดที่มีกรดอีรูซิคในน้ำมันน้อยกว่า 2% และกลูโคไซโนเลทในกากอาหารน้อยกว่า 3 มิลลิกรัม/กรัม

น้ำมันเรพสีดหรือน้ำมันคาโนลาประกอบด้วยโอเมก้า-6 และโอเมก้า-3 อัตราส่วน 2 : 1 และมีปริมาณโอเมก้า-3 อยู่มากช่วยลดคลอเรสเตอรอลบำรุงหัวใจ

ลดปริมาณไตรกลีเซอไรด์และป้องกันการแข็งตัวของเกล็ดเลือดจึงมีการนำไปทำน้ำมันสลัดเนยและผลิตภัณฑ์อื่นๆ

น้ำมันเรพสีดใช้ในการผลิตเป็นไบโอดีเซลและใช้ได้โดยตรงกับเครื่องยนต์หรือนำไปผสมกับน้ำมันดีเซลในอัตราส่วนตั้งแต่ 2-20% นอกจากนั้นยังนำไปทำเป็นน้ำมันหล่อลื่นที่มีคุณภาพดีเนื่องจากมีความคงตัวในที่อุณหภูมิสูงใช้เป็นส่วนผสมในโฟมมิ่งเอเจนในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ใช้ในอุตสาหกรรมเคมีสำหรับผลิตอาหารและผลิตภัณฑ์อื่นๆเช่นอุตสาหกรรมหล่อลื่นและน้ำมันไฮโดรลิคส่วนกากเมล็ดหลังจากบีบน้ำมันมีโปรตีนประมาณ 40% มีความสมดุลของกรดอะมิโนมากกว่าถั่วเหลืองสามารถนำไปทำอาหารสัตว์ได้

การปลูกและดูแลรักษา

สภาพพื้นที่ เรพสีดเป็นพืชที่ขึ้นได้ดีในดินที่โปร่งเบาความชื้นพอเหมาะระบายน้ำดีและมีธาตุอาหารเพียงพอ

สภาพภูมิอากาศ เรพสีดเจริญได้ดีในช่วงอุณหภูมิ 10-30oC อุณหภูมิที่พอเหมาะคือ 20oC และต้องการช่วงอุณหภูมิต่ำเพื่อกระตุ้นการออกดอกบางสายพันธุ์ต้องการอุณหภูมิต่ำประมาณ 4oC นาน 8 สัปดาห์จึงจะออกดอกแต่บางสายพันธุ์ต้องการความเย็นเพียง 2-3 คืนเท่านั้น

ฤดูปลูก เนื่องจากเป็นพืชอายุสั้นประมาณ 80-100 วันและชอบอากาศเย็นการปลูกในประเทศไทยจึงควรปลูกในช่วงปลายฝนต่อหนาวหรือฤดูหนาวเพื่อไม่ให้ผลผลิตได้รับความเสียหายจากฝนและอากาศร้อน

พันธุ์คาโนลา เป็นสายพันธุ์เรพสีดที่มีกรดอีรูซิคและกลูโคไซโนเลทต่ำเหมาะสำหรับนำไปทำอาหารคนและสัตว์สำหรับประเทศไทยได้มีการทดลองนำเข้าเมล็ดเรพสีดพันธุ์ต่างๆมาปลูกทดลองที่ศูนย์วิจัยพืชไร่เชียงใหม่ได้แก่Brassica carinata สายพันธุ์ BC-815-2, BC-876-2 และ BC-831-2 เป็นสายพันธุ์จากประเทศสเปนB. napus สายพันธุ์ Polo Canola จากสหรัฐอเมริกาสายพันธุ์ Turret และ Target จากประเทศแคนาดาB. rapa สายพันธุ์ Polar และ Candle จากประเทศแคนาดาซึ่งสายพันธุ์เหล่านี้สามารถออกดอกและติดเมล็ดได้ในประเทศไทย

การปลูก ควรมีการไถดินและเก็บวัชพืชก่อนปลูกเพื่อให้ดินร่วนซุยโรยเมล็ดเรพสีดเป็นแถวใช้เมล็ดอัตรา 0.8-1.0 กก./ไร่ระยะระหว่างแถว 30-40 ซม. ความลึก 1.2-2.5 ซม. หรือหว่านอัตรา 1.4-1.6 กก./ไร่ขึ้นกับขนาดเมล็ดและพื้นผิวดินความหนาแน่น 65-90 ต้นต่อตารางเมตร

 การให้น้ำ เนื่องจากเป็นพืชในสกุลกะหล่ำมีลักษณะใบใหญ่อวบน้ำจึงต้องการน้ำเพียงพอในการเจริญเติบโตโดยเฉพาะในช่วงออกดอกแต่ต้องระวังไม่ให้น้ำขัง

การให้ปุ๋ย เรพสีดต้องการธาตุอาหารหลักทั้งไนโตรเจนฟอสฟอรัสและโปแตสเซียมในปริมาณเพียงพอรวมทั้งธาตุรองบางตัวเช่นกำมะถัน

โรคที่สำคัญ โรคลำต้นเน่าจากเชื้อ Sclerotinia Stem rot

แมลงศัตรูที่สำคัญ ด้วงหมัดผักเป็นอันตรายร้ายแรงในระยะต้นกล้าหนอนกระทู้ผักหนอนกระทู้หอมกัดกินใบทุกระยะการเจริญเติบโต

วัชพืช หญ้าชนิดต่างๆเป็นศัตรูสำคัญในระยะต้นกล้า

 

การเก็บเกี่ยว

ฝักของเรพสีดเป็นฝักยาวเมื่อแก่แล้วจะแตกออกเป็น 2 ซีกดังนั้นการเก็บเกี่ยวจึงต้องระมัดระวังปกติจะมีระยะประมาณ 80-100 วันหลังปลูก

ผลผลิต

ผลผลิตของเรพสีดมีความผันแปรในแต่ละพื้นที่เช่นในยุโรปผลผลิต 144-180 กก./ไร่แอฟริกาเหนือผลผลิต 48-56 กก./ไร่ในสหรัฐอเมริกาผลผลิต 30-500 กก./ไร่

ศัตรูพืชที่พบมากคือด้วงหมัดผักกัดกินใบเป็นรูพรุนและหนอนกระทู้ผักซึ่งจะกัดกินใบทุกระยะการเจริญโรคที่พบคือโรคลำต้นเน่า (Sclerotinia Stem rot)

จะเห็นได้ว่าเรพสีดเป็นพืชน้ำมันชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าจากการปลูกทดสอบดังกล่าวมาแล้วชี้ให้เห็นว่าสามารถปลูกเรพสีดได้ในประเทศไทยซึ่งประเทศไทยน่าจะมีศักยภาพในการผลิตเพื่อใช้ประโยชน์จากน้ำมันของพืชชนิดนี้ซึ่งมีคุณค่าหลายประการดังกล่าวมาแล้วข้างต้น

อย่างไรก็ตามการศึกษาวิจัยเพื่อให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติมในหลายๆด้านและการนำเข้าเมล็ดพันธุ์เรพสีดจากแหล่งปลูกอื่นๆเข้ามาทดลองปลูกเพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่เหมาะสมและผลผลิตสูงปรับตัวได้ในสภาพแวดล้อมของประเทศไทยจะต้องมีการศึกษาวิจัยต่อไปเพื่อศึกษาหาเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสมและจำเป็นสำหรับการปลูกเรพสีดซึ่งจะสามารถนำไปส่งเสริมให้เป็นพืชน้ำมันตัวใหม่ที่มีอายุสั้นเพียง 84 วันก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว

สมุนไพรคืออะไร

ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ. 2525 คำว่าสมุนไพรหมายถึงพืชที่ใช้ทำเป็นเครื่องยาสมุนไพรกำเนิดมาจากธรรมชาติและมีความหมายต่อชีวิตมนุษย์โดยเฉพาะในทางสุขภาพอันหมายถึงทั้งการส่งเสริมสุขภาพและการรักษาโรค

ความหมายของยาสมุนไพรพระราชบัญญัติยาพ.ศ. 2510 ได้ระบุว่ายาสมุนไพรหมายความว่ายาที่ได้จากพฤกษาชาติสัตว์หรือแร่ธาตุซึ่งมิได้ผสมปรุงหรือแปรสภาพเช่นพืชก็ยังเป็นส่วนของรากลำต้นใบดอกผลฯลฯซึ่งมิได้ผ่านขั้นตอนการแปรรูปใดๆแต่ในทางการค้าสมุนไพรมักจะถูกดัดแปลงในรูปแบบต่างๆเช่นถูกหั่นให้เป็นชิ้นเล็กลงบดเป็นผงละเอียดหรืออัดเป็นแท่งแต่ในความรู้สึกของคนทั่วไปเมื่อกล่าวถึงสมุนไพรมักนึกถึงเฉพาะต้นไม้ที่นำมาใช้เป็นยาเท่านั้น

หากจะกล่าวโดยสรุปจะได้ความหมายของคำว่าสมุนไพรคือพืชที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคหรืออาการเจ็บป่วยต่างๆหรือจะกล่าวสั้นก็คือพืชที่ใช้ทำเป็นเครื่องยา

ส่วนยาสมุนไพรคือยาที่ได้จากส่วนของพืชสัตว์และแร่ซึ่งยังมิได้ผสมปรุงหรือแปรสภาพส่วนการนำมาใช้อาจดัดแปลงรูปลักษณะของสมุนไพรให้ใช้ได้สะดวกขึ้นเช่นนำมาหั่นให้มีขนาดเล็กลงหรือนำมาบดเป็นผงเป็นต้น

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีผู้พยายามศึกษาค้นคว้าเพื่อพัฒนายาสมุนไพรให้สามารถนำมาใช้ในรูปแบบที่สะดวกยิ่งขึ้นเช่นนำมาบดเป็นผงบรรจุแคปซูลตอกเป็นยาเม็ดเตรียมเป็นครีมหรือยาขี้ผึ้งเพื่อใช้ทาภายนอกเป็นต้นในการศึกษาวิจัยเพื่อนำสมุนไพรมาใช้เป็นยาแผนปัจจุบันนั้นได้มีการวิจัยอย่างกว้างขวางโดยพยายามสกัดสารสำคัญจากสมุนไพรเพื่อให้ได้สารที่บริสุทธิ์ศึกษาคุณสมบัติทางด้านเคมีฟิสิกส์ของสารเพื่อให้ทราบว่าเป็นสารชนิดใดตรวจสอบฤทธิ์ด้านเภสัชวิทยาในสัตว์ทดลองเพื่อดูให้ได้ผลดีในการรักษาโรคหรือไม่เพียงใดศึกษาความเป็นพิษและผลข้างเคียงเมื่อพบว่าสารชนิดใดให้ผลในการรักษาที่ดีโดยไม่มีพิษหรือมีพิษข้างเคียงน้อยจึงนำสารนั้นมาเตรียมเป็นยารูปแบบที่เหมาะสมเพื่อทดลองใช้ต่อไป

 

พืชสมุนไพรในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช เพื่อนำมาใช้ทดแทนการใช้สารเคมีทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและศัตรูธรรมชาติต้นทุนการผลิตก็ลดลงเช่น

- กลอย นำไปใช้ในการฆ่าแมลงเช่นเพลี้ยอ่อนแมลงสิงและแมลงทั่วไปโดยโขลกกลอย 1 กิโลกรัมหมักในน้ำ 1 ปี๊บทิ้งค้างคืน 1-2 คืนนำไปฉีดพ่นฆ่าแมลง

- ตะไคร้หอม ใช้ทำยาป้องกันกำจัดแมลงและล่อแมลงวันตัวผู้ใช้ใบสดที่แก่จัดผสมกับหัวข่าสดและใบสะเดาสดบดให้ละเอียดในอัตราที่เท่ากันแช่ในน้ำ 1 ปี๊บหมัก 1 คืนกรองเอาเฉพาะน้ำผสมกับน้ำสะอาด 10 ช้อนแกงต่อน้ำ 20 ลิตรฉีดกำจัดแมลงในพืชผักและไม้ผลและยังสามารถนำมากลั่นเป็นน้ำมันหอมระเหยพ่นทาผิวหนังกันยุงและแมลงได้อีกด้วย

- เถาวัลย์เปรียง นำไปใช้ฆ่าแมลงด้วยการทุบรากประมาณ 1 กิโลกรัมแช่น้ำ 1 ปี๊บค้างคืนแล้วนำน้ำหมักไปฉีดพ่นฆ่าแมลงได้หลายชนิด

- สะเดา ใช้รักษาผิวหนังและฆ่าแมลงโดยใช้เมล็ดหรือใบสะเดาบด 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 20 ลิตรหมักค้างคืนหรือนำแล้วนำไปฉีดพ่นไล่แมลงได้หลายชนิด

- มะคำดีควาย ใช้ฆ่าแมลงเช่นกันโดยนำผลมะคำดีควาย 1 กิโลกรัมทุบให้เนื้อผลแตกนำไปหมักในน้ำ 1 ปี๊บทิ้งไว้ 1 คืนนำไปฉีดพ่นฆ่าแมลงศัตรูพืช

- โล่ติ๊น หรือ หางไหล ใช่ฆ่าหนอนหรือแมลงโดยใช้ส่วนของรากทุบแช่น้ำแล้วนำน้ำไปรดสวนผักเพื่อฆ่าหนอนหรือแมลงที่มาทำลายผัก

- แห้วหมู ใช้รากหรือเหง้าประมาณ 1-2 กิโลกรัมแช่น้ำ 1 ปี๊บทิ้งค้างคืนนำน้ำไปฉีดพ่นฆ่าแมลง

- หนอนตายหยากเล็ก ใช้เหง้า 10 กิโลกรัมกากน้ำตาล 10 กิโลกรัมตะไคร้ทั้งต้น 5 กิโลกรัมใบหูเสือใบสาบเสือมาบดให้ละเอียดหมักไว้ผสมน้ำฉีดพ่นฆ่าแมลงในสวนส้มได้ดี

 

พืชสมุนไพรที่ใช้ทำน้ำมันหอมระเหย สามารถนำมาเป็นสมุนไพรแก้โรคต่างๆมากมายเช่น

- กรรณิการ์ ใบแก้ไข้แก้ปวดข้อบำรุงน้ำดีเจริญอาหารดอกแก้ลมวิงเวียนแก้ไข้เปลือกใช้เปลือกต้มแก้ปวดศีรษะต้นรสหวานเย็นฝาด

- กระดังงา ดอกใช้ปรุงเป็นยาแก้ลมและบำรุงเลือดรักษาโรคหืดใบและเนื้อไม้ต้มน้ำกินเป็นยาขับปัสสาวะใบเป็นยาแก้คันต้นกิ่งก้านขับปัสสาวะแก้ขับปัสสาวะพิการ

- กฤษณา เนื้อไม้บำรุงโลหิตในหัวใจบำรุงตับและปอดให้เป็นปกติแก้ลมแก้ลมอ่อนเพลียแก้ไข้บำรุงโลหิตรักษาโรคปวดข้อแก่นไม้บำรุงโลหิตบำรุงหัวใจบำรุงตับและปอดให้ปกติ

- แก้ว ใช้ก้านและใบสดบดแช่แอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมงใช้ทาหรือเป็นยาฉีดระงับปวดแก้ปวดฟันก้านใช้ทำความสะอาดฟันรากและใบสดแก้ผดผื่นคันจากความชื้นหรือแมลงกัดต่อย

- โกฐจุฬาลำพาใช้ทั้งต้นแก้ไข้ที่มีผื่นขึ้นตามตัวเช่นหัดเหือดสุกใสฝีดาษไข้รากสาดแก้หืดไอแก้ไข้เพื่อเสมหะ

- จำปา ใช้ดอกปรุงเป็นยาหอมบำรุงหัวใจเปลือกต้นสมานแก้ไข้รากเป็นยาบำรุงธาตุบำรุงกำลังบำรุงเส้นผมแก้ผมหงอกบำรุงผิวหนังให้เปล่งปลั่งแก้ท้องผูกแก้ลมแก้พรรดึกแก้ไอ

- จำปี ใช้ดอกบำรุงหัวใจบำรุงประสาทบำรุงโลหิตน้ำมันจากดอกและผลบำรุงธาตุแก้คลื่นเหียนแก้ไข้ขับปัสสาวะใบแก้โรคประสาทแก้ป่วงแก่นบำรุงประจำเดือนรากแห้งหรือเปลือกรากผสมนมสำหรับบ่มฝี

- ช้าพลู ใช้ใบขับเสมหะทำให้เสมหะงวดทำให้เลือดลมซ่านเจริญอาหารดอก (ผล) ใช้ขับเสมหะแก้เสมหะในทรวงอกรากทำให้เสมหะแห้งขับลมในลำไส้และบำรุงธาตุ

- พิกุล ใช้เปลือกต้นฆ่าแมลงกินฟันกระพี้แก้เกลื้อนแก่นบำรุงโลหิตใบฆ่าเชื้อกามโรคดอกแก้ลมบำรุงโลหิตรากบำรุงโลหิตแก้เสมหะ

พืชสมุนไพรเพื่อความงาม เป็นสมุนไพรรักษาโรคต่างๆได้มากมายเช่นกันเช่น

- กวาวเครือขาว หัวต้มน้ำดื่มบำรุงกำลังเป็นยาอายุวัฒนะบำรุงเนื้อให้เจริญทำให้เลือดคั่งเต่งที่มดลูกบำรุงอวัยวะสืบพันธุ์ให้เจริญรับประทานขนาดเท่าเมล็ดพริกไทย 1 เม็ดต่อวัน

- ขมิ้นชัน เหง้าสดแก้โรคเหงือกบวมเป็นหนองรักษาแผลสดแก้โรคกระเพาะแก้ไข้คลั่งเพ้อแก้ไข้เรื้อรังผอมเหลืองแก้โรคผิวหนังแก้ท้องร่วงแก้บิดพอกแผลแก้เคล็ดขัดยอกขับผายลมคุมธาตุหยอดตาแก้ตาบวมตาแดงทาแก้แผลถลอกแก้โรคผิวหนังผื่นคันแก้ท้องอืดเฟ้อรักษาแผลในกระเพาะอาหาร

- มะกรูด ใบต้มดื่มแก้หลอดลมอักเสบแก้เจ็บคอตับอักเสบกระตุ้นน้ำลายขับปัสสาวะปวดตามข้อแนวประสาทตำพอกแก้ปวดบวมแก้อักเสบจุดด่างดำบนใบหน้ารากเถารสหวานต้มน้ำดื่มแก้ไอแก้หวัดรากเถารสเปรี้ยวต้มดื่มแก้หืดเจ็บคอไอแห้งกัดเสมหะแก้ร้อนในอาเจียนตับอักเสบดีซ่านขับปัสสาวะขับเสมหะผลรสเปรี้ยวใช้ทำยาดองฟอกโลหิตระดูถอนพิษผิดสำแดงผิวลูกรสปร่าหอมติดร้อนขับลมในลำไส้ขับระดู

ดอกพิกุล แก้ลม บำรุงโลหิต

กวาวเครือ เป็นยาบำรุงกำลัง

- ขมิ้นชัน เหง้าสดแก้โรคเหงือกบวมเป็นหนองรักษาแผลสดแก้โรคกระเพาะแก้ไข้คลั่งเพ้อแก้ไข้เรื้อรังผอมเหลืองแก้โรคผิวหนังแก้ท้องร่วงแก้บิดพอกแผลแก้เคล็ดขัดยอกขับผายลมคุมธาตุหยอดตาแก้ตาบวมตาแดงทาแก้แผลถลอกแก้โรคผิวหนังผื่นคันแก้ท้องอืดเฟ้อรักษาแผลในกระเพาะอาหาร

- มะกรูด ใบต้มดื่มแก้หลอดลมอักเสบแก้เจ็บคอตับอักเสบกระตุ้นน้ำลายขับปัสสาวะปวดตามข้อแนวประสาทตำพอกแก้ปวดบวมแก้อักเสบจุดด่างดำบนใบหน้ารากเถารสหวานต้มน้ำดื่มแก้ไอแก้หวัดรากเถารสเปรี้ยวต้มดื่มแก้หืดเจ็บคอไอแห้งกัดเสมหะแก้ร้อนในอาเจียนตับอักเสบดีซ่านขับปัสสาวะขับเสมหะผลรสเปรี้ยวใช้ทำยาดองฟอกโลหิตระดูถอนพิษผิดสำแดงผิวลูกรสปร่าหอมติดร้อนขับลมในลำไส้ขับระดู

 - มะเขือเทศ ใบสดนำมาตำละเอียดใช้เป็นยาทาหรือพอกแก้ผิวหนังถูกแดดเผาผลสดนำมารับประทานสดหรือต้มเอาน้ำแกงกินเป็นยาแก้กระหายน้ำเป็นยาระบายอ่อนๆทำให้เจริญอาหารช่วยขับพิษและสิ่งที่คั่งค้างในร่างกายช่วยบำรุงและกระตุ้นกระเพาะอาหารลำไส้และไตรากใช้รากสดนำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้ปวดฟันหรือใช้น้ำที่ต้มน้ำมาล้างบาดแผล

- บัวบก ต้นนำมาต้มน้ำดื่มแก้ฟกช้ำลดอาการอักเสบได้ดีทำครีมทาผิวหนังแก้อักเสบเป็นเครื่องดื่มแก้ร้อนใน

- พลับพลึง หัวใช้ต้มเอาน้ำรับประทานทำให้อาเจียนเป็นเสมหะเป็นยาบำรุงกำลังเป็นยาระบายรักษาโรคเกี่ยวกับน้ำดีโรคเกี่ยวกับปัสสาวะใบใช้ลนไฟพอนิ่ม แก้เคล็ดบวมขัดยอกใช้ตำปิดศีรษะแก้ปวดศีรษะลดอาการไข้ใช้ต้มดื่มทำให้อาเจียนรากใช้ตำพอกแผลหรือเคี้ยวกลืนรักษาพิษยางน่องเมล็ดใช้เป็นยาขับปัสสาวะขับประจำเดือนเป็นยาระบายยาบำรุง

- ว่านหางจระเข้ นำวุ้นจากใบล้างน้ำให้สะอาดฝานทาหรือปิดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกดับพิษร้อนน้ำจากเมือกใบใช้ทาผิวป้องกันและบรรเทาอาการผิวหนังเกรียมไหม้จากแดดหรือรังสีทาผิวรักษาสิวฝ้าและขจัดรอยแผลถลอกนอกจากนั้นน้ำวุ้นกินรักษาโรคกระเพาะแก้ร้อนในและบำรุงร่างกาย

- อัญชัน ดอกใช้เป็นสีผสมอาหารหรือขนมซึ่งจะให้สีม่วงใส่น้ำมะนาวผสมรากใช้ถูกับฟันทำให้แข็งแรงดอกช่วยรักษาอาการผมร่วงนิยมใช้เป็นส่วนผสมของแชมพู

..กสิกรปีที่ 83  2553