puideedee.com

แตงกวา แตงร้าน

แตงกวา 

    เรื่องของแตงกวาผลออกดก ออกไว ขั้นเทพ ใช้ฮอร์โมนเร่ง โดยเป็นอินทรย์ชีวภาพ ไร้เคมี เพราะมีเคมี แมลงจะมา.ใช้จริงจึงได้ผลดีมากๆ..ลองมาหลายสวนแล้ว จึงแอบมาบอกว่า ใช้นาโน วายไอซี แล้วดีนะ ขอยืมคำของพี่ สมรักษ์ คำสิงห์ว่า..ไม่ได้โม้.. ไม่ว่าที่ไหนก็ใช้ได้ผลชัวร์ ไม่มั่วนิ่ม ดีแน่นอน มีเกษตรกรการันตี..ที่เห็นในภาพ คือ บ้านลาด เพชรบุรี ไม่ลองก็ไม่รู้นะ. ขอยืมคำของ พุ่มพวง ดวงจันทร์ มาหน่อย  ...แหมะ ..เสียดายจัง..

แตงกวา หรือ แตงร้าน เป็นไม้เลื้อยในวงศ์ Cucurbitaceae (ตระกูลเดียวกันกับแตงโม ฟักทอง บวบ มะระ น้ำเต้า) มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย นิยมปลูกเพื่อใช้ผลเป็นอาหาร มีอายุตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยว 30-45 วัน  ใบหยาบมีขนใบ มีมุมใบ 3 ถึง 5 มุม ปลายใบแหลม ใบใหญ่มี เส้นใบ 5 – 7 เส้นดอกเพศเมียเป็น
ดอกเดี่ยวเกิดจากบริเวณมุมใบหรือข้อมีกลีบเลี้ยงสีเขียว 5 กลีบ กลีบดอกสีเหลือง 5 กลีบ รังไข่มีลักษณะกลมยาว 2-5 ซม. มีปุ่มนูนของหนามและขนชัดเจนส่วนของยอดเกสรตัวเมียมี 2-5 แฉก  ส่วนดอกเพศผู้อาจเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อ มีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกเหมือนดอกเพศเมีย ละอองเกสรตัวผู้ 3 อัน และมีก้านชูเกสรสั้นๆดอกเพศเมียและดอกเพศผู้บานในตอนเช้าและพร้อมรับการผสมเกสร   ดอกจะหุบตอนบ่ายภายในวันเดียวกัน

     เกษตรกร คุณประยูร..ใช้นาโนกับแตงกวา แตงร้าน ที่ห้วยท่าช้าง เขาย้อย เพชรบุรี

พันธุ์แตงกวาแตงร้าน

1. แตงกวาแตงร้านพันธุ์ไมโครซี 255
2. แตงกวาแตงร้านพันธุ์เขียวมาเลย์
3. แตงกวาแตงร้านพันธุ์ไมโครซี 306
4. แตงกวาแตงร้านพันธุ์ชินจัง 09
5. แตงกวาแตงร้านพันธุ์ร้านทอง09

     ลักษณะผลของแตงกวา รูปยาวรี ความยาวประมาณ 10 เซนติเมตร กษณะกลมยาวทรงกระบอก ความยาวผลระหว่าง 5-40 ซม. มีไส้ภายในผล เส้นผ่าศูนย์กลางผลประมาณ 3 เซนติเมตร รูปร่างใกล้ขั้วและปลายแบนราบ สีผิวบริเวณใกล้ขั้วเป็นสีเขียว สีผิวบริเวณปลายเป็นสีเขียวอ่อน มีแถบบนผลสีเขียวหนามบนผลอ่อนเป็นสีขาว รูปทรงผลบริเวณใกล้ขั้วผลแบนราบ รูปทรงผลบริเวณปลายผลกลม เนื้อไม่มีรสขม น้ำหนัก ประมาณ 60 กรัมลักษณะเมล็ด มีสีครีม น้ำหนัก 100 เมล็ด ประมาณ 3 กรัม

   

     ในปัจจุบันพันธุ์การค้าในต่างประเทศมีการปรับปรุงพันธุ์ที่สามารถติดผลได้ โดยไม่ได้รับการผสมเกสร (parthenocarpic type) โดยภายในผลไม่มีไส้ เนื้อกรอบ และนํ้าหนักต่อผลสูงนิยมทั้งบริโภค    ผลสดแปรรูป สีผลมีสีขาว เขียวอ่อน เขียว และเขียวเข้มดำ สีหนามสีขาว แดง นํ้าตาล และดำอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการงอกของเมล็ดระหว่าง 25-30 องศาเซลเซียส สามารถเจริญเติบโต  ได้ผลดีระหว่างอุณหภูมิ 20-30 องศาเซลเซียส อุณหภูมิกลางวัน 22-28 องศาเซลเซียส แตงกวา จะชะงักการเจริญเติบโต สำ หรับอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการผสมเกสรนั้นอยู่ระหว่าง 17-25 องศาเซลเซียส

     แตงกวาเป็นพืชที่ไม่ต้องการนํ้ามากแต่ขาดนํ้าไม่ได้ โครงสร้างของดินที่ปลูกแตงกวาควรมีลักษณะเป็นดินร่วนปนทราย มีการระบายนํ้าดี ควรมีความเป็นกรด ด่าง (pH) อยู่ระหว่าง 5.5-6.5 ในสภาพดินที่เป็นดินทรายจัด หรือเหนียวจัด จำ เป็นต้องปรับปรุงบำ รุงดินก่อนการปลูก โดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์เช่น ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักที่สลายตัวแล้วและสภาพความเป็นกรดด่างนั้น ควรจะวิเคราะห์หาค่าความต้องการปูนก่อนที่จะใช้ปูนขาวเพื่อให้มีการใช้ในปริมาณที่เหมาะสมการเตรียมดินก่อนการปลูกแตงกวา ทำ การไถพรวนดินตากไว้ประมาณ 7-10 วันเพื่อทำ ลายวัชพืช และศัตรูพืชบางชนิดที่อยู่ในดิน

 สนใจสอบถามเป็นกันเอง ฟรี...ที่ นนท์ศูนย์เกษตรนาโน โทร*089-270-2607    line ID : pollop1122

     จากนั้นจึงไถพรวนเก็บเอาเศษวัชพืชออกแล้วเตรียมแปลงขนาดกว้าง 1-1.2 เมตร โดยมีความยาวตามลักษณะของพื้นที่แล้วจึงใส่ปุ๋ยอินทรีย์ลงไป ปรับโครงสร้างของดินให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของแตงกวา การเตรียมหลุมปลูกนั้นควรกำ หนดระยะระหว่างต้นประมาณ 60-80 เซนติเมตร ระหว่างแถวประมาณ 1 เมตร สำ หรับการใส่ปุ๋ยเคมีรองพื้นนั้นอาจใช้สูตร 15-15-15 ในอัตรา 30-50 กิโลกรัมต่อไร่ ในบางแหล่งอาจใช้พลาสติกคลุมดินเพื่อรักษาความชื้นในดิน ป้องกันความงอกของวัชพืช และพลาสติกบางชนิดสามารถที่จะไล่แมลงไม่ให้เข้ามาทำ ลายแตงกวาได้


     การเตรียมพันธุ์ ขั้นตอนการเตรียมพันธุ์ นับว่าเป็นขั้นตอนที่สำ คัญในการปลูกแตงกวา ซึ่งพอ
แบ่งได้ดังนี้
1. การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์แตงกวา ควรคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่มีความสมบูรณ์ ซื้อจากร้านค้าให้เลือกซื้อจากร้านที่เชื่อถือ มกี ารบรรจหุ บี หอ่ เมลด็ ทสี่ ามารถปอ้ งกนั ความชนื้หรืออากาศ จากภายนอกเข้าไปได้ ลักษณะเมล็ดแตงกวาควรมีการคลุกสารเคมี เพื่อป้องกันศัตรูพืชที่อาจติดมากับเมล็ด และก่อนใช้เมล็ดทุกครั้งควรทำ การทดสอบความงอกก่อน

     การดูแลรักษากล้า หลังจากหยอดเมล็ดแล้วให้นํ้าทันที โดยวิธีการฉีดพ่นให้เป็นฝอยละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำ ได้ปริมาณนํ้าที่ให้นั้นไม่ควรให้ปริมาณที่มากเกินไป ในช่วงฤดูร้อนควรจะให้วันละ 1 ครั้งทั้งนี้ให้ตรวจดูความชื้นก่อนการให้นํ้าทุกครั้ง ถุงเพาะกล้านี้ควรเก็บไว้ในที่แดดไม่จัดหรือมีการใช้วัสดุ  กันแสงไม่ให้มากระทบต้นกล้ามากเกินเกินไป เมื่อแตงกวาเริ่มงอกให้หมั่นตรวจดูความผิดปกติของต้นกล้าเป็นระยะๆ หากมีการระบาดของแมลงหรือโรคพืช ต้องรีบกำ จัดโดยเร็ว และเมื่อต้นกล้ามีใบจริง  การปลูก วิธีการปลูกแตงกวานั้น พบว่ามีการปลูกทั้งวิธีการหยอดเมล็ดโดยตรงและเพาะกล้าก่อนแล้วย้ายปลูก การหยอดเมล็ดโดยตรงนั้นอาจจะมีความสะดวกในการปลูก แต่มีข้อเสียคือสิ้นเปลืองเมล็ด หากใช้เมล็ดพันธุ์ลูกผสมซึ่งมีราคาแพงแล้ว จะเกิดความสูญเสียเปล่าและเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิต รวมทั้งวิธีการหยอดเมล็ดนี้จำ เป็นที่จะต้องดูแลระยะเริ่มงอกในพื้นที่กว้าง ดังนั้นการใช้วิธีการเพาะกล้าก่อน จึงมีข้อดีหลายประการ อาทิเช่น ประหยัดเมล็ดพันธุ์ ดูแลรักษาง่าย ต้นกล้ามีความสมํ่าเสมอประหยัดค่าแรงงานในระยะกล้า เป็นต้นสำ หรับการย้ายกล้าปลูกนั้น ให้ดำ เนินการตามกระบวนการเพาะกล้าตามที่กล่าวแล้ว และเตรียมหลุมปลูกตามระยะที่กำ หนด จากนั้นนำ ต้นกล้าย้ายปลูกลงในหลุม ตามระยะระหว่างต้นและระหว่างแถวตามที่ได้กำ หนดไว้ โดยการฉีกถุงพลาสติกที่ใช้เพาะกล้าออกแล้วย้ายลงในหลุมปลูก ช่วงเวลาที่จะย้ายกล้านั้นควรย้ายช่วงประมาณเวลา 17.00 น.

     การให้นํ้า หลังจากย้ายกล้าปลูกแล้ว ต้องให้นํ้าทันที ระบบการให้นํ้านั้นอาจจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ แต่ระบบที่เหมาะสมกับแตงกวา คือการให้นํ้าตามร่อง เพราะว่าจะไม่ทำ ให้ลำ ต้น และใบไม่ชื้น ลดการลุกลามของโรคพืชทางใบ ช่วงเวลาการให้นํ้าในระยะแรกควรให้ 2-3 วันต่อครั้งและเมื่อต้นแตงกวา เริ่มเจริญเติบโตแล้วจึงปรับช่วงเวลาการให้นํ้าให้นานขึ้น ข้อควรคำ นึงสำ หรับการให้นํ้านั้นคือ ต้องกระจายในพื้นที่สมํ่าเสมอตลอดแปลง และตรวจดูความชื้นในดินไม่ให้สูงเกินไปจนกลายเป็นแฉะ เพราะจะทำ ให้รากเน่าได้

     การใส่ปุ๋ย การใส่ปุ๋ยในแตงกวานั้น อาจแบ่งเป็นระยะต่าง ๆ ดังนี้
1. ระยะเตรียมดิน ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 ตันต่อไร่ และใส่ปุ๋ยสูตร15-15-15 หรือ 12-24-12 อัตราประมาณ 20-30 กิโลกรัมต่อไร่
2. หลังย้ายปลูกประมาณ 7 วัน ใส่ปุ๋ยที่มีไนโตรเจน เช่น ยูเรีย หรือ แอมโมเนียซัลเฟต ในอัตราประมาณ 20 กิโลกรัมต่อไร่
3. ระยะแตงกวาออกดอก ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 25 วัน หลังจากย้ายกล้า ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 12-24-12 อัตรา ประมาณ 20-30 กิโลกรัมต่อไร่

     แมลงศัตรูแตง แตงกวานั้นเป็นพืชผักชนิดหนึ่งที่มี แมลงศัตรูเข้าทำ ลายมาก และที่พบบ่อยและทำ ความเสียหายกับแตงกวามากได้แก่

1. เพลี้ยไฟ (Thrips : Haplothrips floricola)

     ลักษณะ เป็นแมลงขนาดเล็ก ตัวสีนํ้าตาลอ่อนถึงนํ้าตาลแก่ พบตามยอดใบอ่อน ดอกและผลอ่อนการทำ ลาย ดูดนํ้าเลี้ยงที่ใบ ดอกอ่อน และยอดอ่อน ทำ ให้ใบม้วนหงิกงอ รูปร่างผิดปกติเป็นกระจุก มีสีสลับเขียวเป็นทาง ระบาดมากในช่วงที่มีอากาศแห้งแล้งฝนทิ้งช่วง นับเป็นแมลงที่เป็นปัญหาสำ คัญที่สุดในการปลูกแตงกวา

     การป้องกันกำ จัดให้นํ้าเพิ่มความชื้นในแปลงปลูก โดยให้นํ้าเป็นฝอยตอนเช้าและตอนเย็น จะช่วยลดปัญหาของเพลี้ยไฟได้ใช้สารฆ่าแมลง คือ สารคาร์โบฟูราน ได้แก่ ฟูราดาน 3 จี หรือ คูราแทร์ 3 จี 1 ช้อนชาต่อหลุมใส่พร้อมกับการหยอดเมล็ด จะป้องกันได้ประมาณ 2 สัปดาห์กรณีที่เริ่มมีการระบาดให้ใช้สารฆ่าแมลง ได้แก่ พอสซ์เมซูโรล แลนเนท ไดคาร์โซล ออลคอล อะโซดริน โตกุไทออน หรือทามารอน เป็นต้น

2. เพลี้ยอ่อน (Alphids: Aphids gossypii)


     ลักษณะ เป็นแมลงขนาดเล็ก ลำ ตัวคล้ายผลฝรั่ง มีท่อเล็กๆ ยื่นยาวออกไปทางส่วนท้ายของลำ ตัว 2 ท่อน เป็นแมลงปากดูด ตัวอ่อนสีเขียว ตัวแก่สีดำ และมีปีก
การทำ ลาย ดูดนํ้าเลี้ยงที่ใบและยอดอ่อน ทำ ให้ใบม้วน ต้นแคระแกร็น และยังเป็นพาหนะนำ ไวรัสด้วย มักระบาดมากในช่วงอากาศร้อนและแห้งซึ่งเป็นตอนที่พืชขาดนํ้า โดยมีมดเป็นตัวนำ หรือการบินย้ายที่ของตัวแก่การป้องกันกำ จัด ใช้สารเคมีป้องกันกำ จัดแมลงเช่นเดียวกับการป้องกันกำ จัดเพลี้ยไฟ

3. ไรแดง (Red spider mites: Tetranychus spp.)


     ลักษณะ ไม่ได้เป็นแมลงแต่เป็นสัตว์ที่มีขา 8 ขา มีขนาดเล็กมาก มองเห็นเป็นจุดสีแดงการทำ ลาย ดูดนํ้าเลี้ยงที่ใบและหยอดอ่อนทำ ให้ใบเป็นจุดด่างมีสีซีด โดยจะอยู่ใต้ใบเข้าทำ ลายร่วมกับเพลี้ยไฟ และเพลี้ยอ่อน มักระบาดมากในช่วงอากาศร้อนและแห้งซึ่งเป็นตอนที่พืชขาดนํ้าการป้องกันกำ จัด ใช้สารเคมีกำ จัดไร ได้แก่ เคลเทน ไตรไทออน หรือ โอไมท์ เป็นต้น


4. เต่าแตงแดง (Red cucurbit beetle: Aulacophora simills) และเต่าแตงดำ (Black cucurbitbeetle: A. frontalis)


การปลูกแตงกวา 10ลักษณะ เป็นแมลงปีกแข็ง ปีกมีสีส้มแดงและสีดำ เข้ม ตัวมีขนาดเล็กยาวประมาณ 0.5-0.8 ซม.อาศัยอยู่ตามกอข้าวที่เกี่ยวแล้วในนาหรือตามกอหญ้า  การทำ ลาย กัดกินใบตั้งแต่ระยะใบเลี้ยงจนกระทั่งต้นโต ทำ ให้เป็นแผลและเป็นพาหะของโรคเหี่ยวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียด้วย ตัวเมียวางไข่บริเวณโคนต้น ตัวหนอนกัดกินรากการป้องกันกำ จัด ควรทำ ลายแหล่งที่อยู่อาศัยของแมลง รวมทั้งเศษซากแตงหลังการเก็บเกี่ยว  ใช้สารเคมีฉีดพ่น ได้แก่ เซฟวิน คาร์โบน๊อกซี-85 หรือ ไบดริน หรือใช้สารเคมีชนิดเม็ด เช่น ฟูราดาน 3 จี หรือคูราแทร์ 3 จี ใส่หลุมปลูกพร้อมกับการหยอดเมล็ด จะป้องกันเต่าแตงได้ประมาณ 2 สัปดาห์

5. หนอนกินใบแตง (Leaf eating caterpilla: Palpita indica) และหนอนไถเปลือกหรือหนอนเจาะผล (Fruit boring caterpillar:Helicoverpa armigera)


    ลักษณะ หนอนกัดกินใบแตง มีรูปร่างเรียวยาวประมาณ 2 ซม. สีเขียวอ่อน ตรงกลางสันหลังมีเส้นแถบสีขาวตามยาว 2 เส้น หนอนตัวโตเต็มวัยเป็นผีเสื้อที่มีปีกโปร่งใสตรงกลาง ส่วนหนอนเจาะผลมีขนาดใหญ่กว่า ลำ ตัวยาวสีเขียวอ่อนถึงสีนํ้าตาลดำ มีรอยต่อปล้องชัดเจนการทำ ลาย กัดกินใบ ไถเปลือกเป็นแผลและเจาะผลเป็นสาเหตุให้โรคอื่น ๆ เข้าทำ ลายต่อได้ เช่น   โรคผลเน่า  การป้องกันกำ จัด ใช้สารเคมี เช่น อโซดริน แลนเนท ทามารอน โตกุไทออน บุก หรือ อะโกรน่า  เป็นต้น

แตงกวามีโรคที่เป็นศัตรูสำคัญ ได้แก่
1. โรครานํ้าค้าง (Downy mildew) หรือที่เกษตรกรนิยมเรียกว่าโรคใบลาย

เกิดจากเชื้อ Psudoperonospora  ลักษณะอาการ เริ่มเป็นจุดสีเหลืองบนใบ แผลนั้นจะขยายออกเป็นเหลี่ยมในระหว่างเส้นใบถ้าเป็นมากๆ แผลลามไปทั้งใบทำ ให้ใบการปลูกแตงกวา 11  แห้งตาย ในตอนเช้าที่มีหมอกนํ้าค้างจัดช่วงหลังฝนตกติดต่อกันทำ ให้มีความชื้นสูง ในบริเวณปลูกจะพบว่าใต้ใบตรงตำ แหน่งของแผลจะมีเส้นใยสีขาวเกาะเป็นกลุ่มและมีสปอร์เป็นผงสีดำการป้องกันกำ จัด คลุกเมล็ดแตงด้วยสารเคมีเอพรอน หรือ ริโดมิลเอ็มแซดก่อนปลูกหรือจะนำเมล็ดมาแช่สารเคมีที่ละลายนํ้าเจือจางเป็นเวลา 3 ชั่วโมงก็ได้ เมื่อมีโรคระบาดในแปลงและในช่วงนั้นมี
หมอกและนํ้าค้างมาก ซึ่งควรฉีด Curzate M8, Antrachor สลับกันเพื่อป้องกันการดื้อสารเคมีของเชื้อโรครานํ้าค้า โรคใบด่าง

2. โรคใบด่าง (Mosaic)


    เชื้อสาเหตุ Cucumber mosaic virus  ลักษณะอาการ ใบด่างสีเขียวเข้มสลับสีเขียวอ่อนหรือด่างเขียวสลับเหลืองเนื้อใบตะปุ่มตะปํ่า มีลักษณะนูนเป็นระยะๆ ใบหงิกเสียรูปร่างการป้องกันกำ จัด ในปัจจุบันยังไม่มีการใช้สารเคมีหรือวิธีการใดๆ ที่จะลดความเสียหายเมื่อโรคนี้ระบาด ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดขณะนี้ คือ การป้องกันไม่ให้เกิดโรค เช่น เลือกแหล่งปลูกที่ปลอดจากเชื้อไวรัส อาจทำ ได้โดยเลือกแหล่งปลูกที่ไม่เคยปลูกผักตระกูลแตงมาก่อนและทำ ความสะอาดแปลงปลูกพร้อมทั้บริเวณใกล้เคียงให้สะอาดไม่ให้เป็นที่อาศัยของเชื้อและแมลงพาหะ


3. โรคผลเน่า (Fruit rot)   เชื้อสาเหตุ Pythium spp., Rhizoctonia solani, Botrytis cinerea

ลักษณะอาการ มักเกิดกับผลที่สัมผัสดิน และผลที่แมลงกัดหรือเจาะทำ ให้เกิดแผลก่อนจะพบมากในสภาพที่เย็นและชื้น กรณีที่เกิดจากเชื้อพิเที่ยมจะเป็นแผลฉํ่านํ้าเริ่มจากส่วนปลายผล ถ้ามีความชื้นสูงจะมีเส้นใยฟูสีขาวขึ้นคลุม กรณีที่เกิดจากเชื้อไรซ๊อกโทเนียจะเป็นแผลเน่าฉํ่านํ้าบริเวณผิวของผลที่สัมผัสดิน แผลจะเปลี่ยนจากสีนํ้าตาลแก่และมีรอยฉีกของแผลด้วย ส่วนกรณีที่เกิดจากเชื้อโบทริทิ่สนั้นบริเวณส่วนปลายของผลที่เน่า จะมีเชื้อราขึ้นคลุมอยู่การป้องกันกำ จัด ทำ ลายผลที่เป็นโรค อย่าให้ผลสัมผัสดิน ป้องกันไม่ให้ผลเกิดบาดแผลการปลูกแตงกวา

4. โรคราแป้ง (Powdery mildew)


    เชื้อสาเหตุ Oidium sp.ลักษณะอาการ มักเกิดใบล่างก่อนในระยะที่ผลโตแล้ว บนใบจะพบราสีขาวคล้ายผงแป้งคลุมอยู่เป็นหย่อมๆ กระจายทั่วไป เมื่อรุนแรงจะคลุมเต็มผิวใบทำ ให้ใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้วแห้งตายการป้องกันกำ จัด ใช้สารเคมี เช่น เบนเลท เดอโรซาล Diametan หรือ Sumilex ฉีดพ่นเมื่อพบการระบาด
อายุการเก็บเกี่ยวของแตงกวานับจากวันปลูกประมาณ 30-40 วัน แล้วแต่พันธุ์แตงกวาสำ หรับ  บริโภคสด ควรเลือกเก็บขณะที่ผลยังอ่อนอยู่เนื้อแน่นกรอบ และสังเกตได้จากมีนวลสีขาวเกาะและยังมีหนามอยู่บ้าง ถ้าผลแก่นวลจะจางหาย สีผลเริ่มเป็นสีเหลือง และไม่มีหนาม การเก็บแตงกวาควรทยอยเก็บวันเว้นวัน ไม่ปล่อยให้แก่คาต้น เพราะจะทำ ให้ผลผลิตทั้งหมดลดลง โดยปกติจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ประมาณ 1 เดือน

ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก สำนักส่งเสริม และฝืกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์