puideedee.com

ชีวประวัติ นิคมรัตน์ สาลีทำ



ฉันชื่อ นิคมรัตน์ สาลีทำ ชื่อเล่นว่า เล็ก ฉายาวงการปัจจุบันว่า "นิ่มนาโน" เกิดที่กรุงเทพมหานครมีพี่น้องรวมกันทั้งหมด6คนมีผู้ชาย3คนผู้หญิง3คน นิ่มนาโนเป็นคนที่5 นิ่มนาโนเป็นลูกสามัญชนคนธรรมดาพ่อแม่ไม่ได้ร่ำรวยและก็ไม่ได้ยากจนครอบครัวเราอยู่ในฐานะปานกลางพ่อมีอาชีพกรรมกรแบกข้าวสารในโรงสีเวลาพักกินข้าวก็มาช่วยภรรยาคือแม่ของฉันนี่ล่ะ แม่มีอาชีพค้าขายข้าวแกงให้คนงานให้กรรมกรจับกังในโกดังค้าข้าวแห่งหนึ่งถ้าจำชื่อไม่ผิดน่าจะชื่อกิตติค้าข้าว จำได้ว่าเถ้าแก่เป็นคนจีนใจดีมีเมตตากับครอบครัวของฉัน พอถึงวันตรุษจีน สาร์ทจีนเถ้าแก่ก็จะแบ่งหมู เห็ด เป็ด ไก่ ที่ไหว้แล้ว มาให้พวกเรากิน พ่อแม่เลี้ยงดูลูกทุกคนเป็นอย่างดีอบรมสั่งสอนให้ลูกและทุกคนที่บอกและสอนได้ทุกๆคนเป็นคนดีแต่ อาจจะเป็นเพราะบุญของลูกๆคงไม่มากอีกอย่างพวกเราอยู่ในสังคมแคบๆจึงไม่ได้เรียนรู้ว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไรต้องดิ้นรน ต่อสู้แข่งขันกันมากขนาดไหน จึงไม่มีใครจบสูงๆแต่ละคนล้วนอยากทำมาหากินช่วยพ่อแม่มากกว่า เมื่อเวลามาถึงแต่ละคนก็แยกย้ายมีครอบครัวกันไปก็จะเหลือพี่ชาย น้องชายและ นิ่มนาโน อยู่ในบ้านที่คอยช่วยงานพ่อแม่ เป้าหมายจึงมาตกที่ นิ่มนาโน การเป็นพ่อค้าแม่ค้า มีอาชีพค้าขาย จะต้องนอนทีหลังและตื่นก่อนคนอื่นเสมอ แต่ นิ่มนาโน ได้สิทธิพิเศษกว่าพี่น้องทุกคนเพราะเลือกที่จะเรียนหนังสือ ที่บ้านเราเป็นบ้านไม้สองชั้น ครั้งนึงจำได้ว่า ประมาณตีสี่ มีเสียงไม้กระทุ้งจากชั้นล่างขึ้นมาชั้นบนรู้เลยว่าเป็นไม้คานที่เอาไว้หาบคอนสาแหรกใส่ของไปขาย นั่นคือเสียงสัญญาณปลุกให้ลูกทุกคนตื่นเพื่อเตรียมตัวทำมาหากินในเช้าวันใหม่



สิ่งที่ได้ยินตามมา"ตื่นๆ เล็กเอ้ยตื่นได้แล้ว เล็กคือชื่อฉันที่พ่อแม่ตั้งให้ตั้งแต่เกิดเพราะตัวเล็กมากๆ นั่น"คือเสียงของพ่อนิ่มนาโนนั่นเอง และ เสียงที่ตามมา "จะเรียกมันทำไมเล่า ปล่อยให้มันนอน เดี๋ยวมันต้องไปเรียนหนังสือ "นั่นคือเสียงของแม่ฉันเอง"ในขณะนั้นฉันเรียนที่พานิชการแห่งหนึ่งเป็นสถาบันหญิงล้วน ผู้ช่วยพยาบาลอยู่แถวศรีย่าน ใกล้ๆกับสันติราษฎร์ ทั้งๆที่นิ่มนาโนเลือกที่จะเรียนแต่จริงๆก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนสักเท่าไร โดยส่วนตัวเป็นคนที่มีอุดมการณ์ยึดมั่น ถือมั่นเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ และเป็นคนชอบเก็บตัว ไม่ชอบพูดคุยหรือสังคมอะไรกับใครทั้งนั้น ยิ่งนับวันความคิดความรู้สึกที่มีกับมนุษย์โลกทำให้ฉันไม่อยากเห็นสภาพที่ผู้คนแย่งกันกินแย่งกันเดินทางต้องทำมาหากินแข่งขันกันต่างๆนาๆ ได้ฟังปัญหาของเพื่อนที่เค้าเล่าให้ฟังก็เก็บมาคิดเหมือนเป็นเรื่องของตัวเองทำให้มีอาการที่เค้าเรียกว่าซึมเศร้า ไม่อยากกิน ไม่อยาก ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นยิ่งเก็บตัวและเงียบมากกว่าเดิม ในหัวนิ่มนาโนมีแต่คำถามว่า ทำไม ทำไม คิดอยากที่ปลีกวิเวกจะเข้าป่าอยากไปอยู่เงียบๆคนเดียวไม่ต้องอาบน้ำล้างหน้า ทาแป้ง ยิ้ม พูด คุยอะไร ในป่ามีอะไรให้กินก็จะกินอย่างนั้นถ้าไม่มีอะไรให้กินก็อดเอาเพราะสุดท้ายของทุกคนก็ต้องพบกับความตาย ถ้าจะ แก่ เจ็บ ตาย ก็ให้ร่างกายทำประโยชน์เป็นผลธุลีดินตรงนั้นไป แม้ว่านกแร้งหรือตัวอะไรจะมากิน มาคาบมาแย่งกันกินก็ช่างมันเถอะอย่างน้อยซากศพเราก็เป็นประโยชน์ให้กับสัตว์เหล่านั้นให้อิ่มไปได้อีกมื้อ นั่นคือความคิดของนิ่มนาโนเมื่อประมาณอายุ 15-16ปี แล้วเราก็เรียกสติความนึกคิดของตัวเองเข้ามาอยู่ที่ปัจจุบัน เรายังทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ จึงหาทางออกทางอื่นโดยไม่ไปเรียนหนังสือ เพื่อไม่ต้องเจอใครต่อใคร เห็นภาพที่คนต้องแย่งกันขึ้นรถเมล์ มันอดสูใจจริงๆ ทางออกตอนนี้คือ หนีโรงเรียนไปอยู่บ้านเพื่อน ที่เรียน ปวช ด้วยกันนั่นล่ะ ทั้งที่บ้านเพื่นพ่อแม่มันก็ขายข้าวแดงในตลาดเหมือนพ่อแม่เราก็หนีไปช่วยเค้า โดยยังคิดเองไม่ได้ว่าเราทำแบบนี้ถูกแล้วเหรอ กระทั่งทางโรงเรียนมีหนังสือมาแจ้งถึงการขาดเรียนของลูก ยังไงต่อล่ะโดนจับได้แล้วนี่ โดนตามระเบียบสิ เข็มขัดนักเรียนค่ะ ฟาดที่น่องด้วยให้อายกันไปเลย แต่ตอนนั้นไม่รู้สึกไม่คิดไม่อะไรทั้งนั้น มันคงมึนกับการเป็นไปทางโลกกับมนุษย์ชาติมากกว่า ก็ยังไม่เข็ดกระทั่งแม่ต้องทำสัญญลักษณ์ให้สองชุดเมื่อไปถึงโรงเรียนก็ให้ยื่นให้กับเรขาณุการที่โรงเรียน ให้เป็นที่รู้ว่านิ่มนาโนมาถึงโรงเรียนแล้วถ้าวันไหนเรขาไม่ได้รับสัญญลักษณ์นี้จากนิ่มนาโนให้โทรมาแจ้งได้เลย เชื่อ เถอะว่ากฎกติกาใดๆก็ตามทำไว้ให้คนได้แหกแหวกออกจากกฎนั้นๆได้เสมอ อยู่ที่ใครจะกล้าแหกแหวกมันออกมาหรือไม่ แต่ สุดท้ายคนทำผิดกฎก็ต้องได้รับโทษอยู่ดี วันนึงแม่ก็จับได้ยู่ดีว่ายังหนีโรงเรียนอีก ก็คงพูดด้วยความโกรธและเสียใจ ในเมื่อให้เรียนแล้วไม่เรียน ก็ไม่ต้องเรียน เราไม่รู้หรอกว่าแม่พูดจริงหรือป่าว ก็อย่างที่บอก เราก็เป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเองไม่ค่อยจะฟังอะไรใครซะด้วย จึงตัดสินใจ ไม่ให้เรียนเหรอก็ไม่อยู่แล้วบ้านนี้ จึงหนีออกจากบ้าน จำได้เลย พ่อเห็นลักษณะของเราก็รู้เลยว่าเด็กเตรียมหนีออกจากบ้าน พ่อก็วิ่งตามเราร้องบอกว่าเล็กอย่าไป เล็กอย่าไปนะลูก ในขณะที่เราก็กระโดดขึ้นรถเมล์สาย สองศูนย์ห้า ถนนตก-คลองเตย ทั้งภาพที่พ่อวิ่งตาม ทั้งเสียงที่ร้องเรียกลูกยัง ติดหูติดตา ตลอดมาถึงทุกวันนี้ มาอยู่กับเพื่อนที่เรียนด้วยกันทั้ง พ่อแม่พี่น้องของเพื่อนก็รักเราทุกคน ก็ยินดีส่งให้เรียนต่อ 



ฉันไม่เคยได้กลับไปดูพ่อแม่เลย
จากนั้นเมื่อถึงวัยทำงาน ถึงเวลามีครอบครัวก็ดูแลครอบครัวเป็นอย่างดี กระทั่งวันนึงเพื่อนที่ทำงานเป็น "ร่างทรง" เค้าก็มาทักว่าเค้าเห็นหน้าพระแม่กวนอิมอยู่บนหน้าของนิ่มนะ ไม่รู้หรอกว่าเค้าทักเพื่อสร้างเรทติ้ง หรือ หาลูกค้าให้ตัวเอง แต่ก็ทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า องค์แม่กวนอิม ท่านเป็นคนที่กตัญญูต่อ บิดาท่าน แล้วเราล่ะ ทำไม่ไม่คิดถึง ไม่กลับไปดูแล ทดแทนคุณพ่อแม่ ของตัวเองล่ะ ไม่มีอะไรที่สายไปสำหรีบทุกคนที่คิดได้ จะช้าหรือเร็วขอให้คิดให้ได้เถอะ เมื่อคิดได้ดังนั้น กลับไปหาพ่อแม่เลยค่ะ ตอนหลังแม่มาซื้อที่ๆบางขุนเทียนด้วยน้ำพักน้ำแรงของท่านทั้งสองคน กลับไปเห็น พ่อกับแม่นั่งร้อยดอกไม้พวงมาลัยขายในวันพระ น้ำตานิ่มนาโนก็ซึม คิดในใจพ่อกับแม่ลำบากขนาดนี้เลยหรือ แม่เป็นคนที่เก่งมีความคิดอ่านคนออก ก็รู้ว่าเราคิดอะไร แม่ถาม ทำไมเหรอลูกเอ็งไม่ต้องมาสงสารข้าหรอก ข้าไม่ได้อดอยากแบบที่เองคิดหรอก แต่เอ็งน่าจะรู้นิสัยแม่ของเองนะว่าเป็นอย่างไร เป็นคนที่อยู่เฉยๆ นิ่งๆไม่ได้ ทั้งทางกายและสมองจะต้องคิด จะต้องทำ จะต้องมีการพัฒนาตลอดๆ ผลพลอยได้กำไรอันนิดน้อยจากการร้อยพวงมาลัยขายไม่ใช่เป้าหมายสำคัญ แต่ สิ่งสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่าเราได้หยิบจับหาโน่น นี่ให้พ่อทำไปวันๆ ดีกว่ามานั่งๆ นอนๆกินเงินที่เก็บมาใช้ชีวิตตอนแก่ ถ้ายังไม่ตายสักทีก็อาจหมดได้ อีกทั้งยังจะทำให้ ง่อย เปลี่ย เสียขาไว กว่าคนในวัยเดียวกัน แม้ว่านิ่มนาโน จะซื้อข้าวหาปลา ส่งให้แม่ทุกเดือนแบบไม่ต้องลำบากอะไร ขอร้องอย่างไรแม่ก็ไม่เลิกขยันที่จะทำมาหากิน มาถึงตรงนี้ "นิ่มนาโน"ก็รู้ตัวแล้วล่ะว่าตัวเองมีความคิด การกระทำเหมือนใคร ในสมองของฉันมีความคิดมีการพัฒนาต่อยอดตลอดๆ 



ทุกวันนี้นิ่มนาโนรู้แล้วว่า ความรักของพ่อแม่ ที่มีต่อลูกมันยิ่งใหญ่มหาสารดุจดั่งทะเล มหาสมุทร ท้องฟ้า ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลย ฉันจึงอยากเดินตามรอยเท้าแม่ เพื่อถ่ายทอดสิ่งที่แม่มีให้มาที่ฉันและ ฉันอยากจะถ่ายทอดสิ่งนั้นให้กับทุกๆคนที่รักฉันและฉันก็รักเค้า ให้รู้จักคุณค่าความรักที่ยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ที่ให้กับเราเค้ามีความหวังเสมอ ความหวังของเค้าที่หยิบยื่นให้เราไม่เหมือนใคร เค้าอยากให้เราผู้ที่เป็นลูก มีอนาคต มีครอบครัวที่ดี อยู่กับโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุข ไม่อยากให้ลูกโดนใครทำร้าย เอาเปรียบ รังแก แต่อย่างใด ส่วนตัวพ่อแม่ที่ให้ล่ะเค้าได้อะไรเคยถามตัวเองกันบ้างหรือไม่
แม่มีที่ดินอยู่หนึ่งผืน แต่ก็ตกเป็นของพี่สาวคนโตแต่เพียงผู้เดียว ด้วยเหตุอะไรเหรอ คงไม่ยากที่จะคิดว่าเพราะอะไร แต่สำหรับฉัน ไม่สนใจที่จะเอาคืน แม้แต่ความคิดที่จะดิ้นรนเอากลับมาไม่เคยคิดสักนิด เพียงเพราะคำๆเดียว ใครทำอย่างไร ได้อย่างนั้น ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ฉันไม่อยากให้เป็นมรดกเลือด หรือ มรดกที่ถูกสาปแช่ง



 

ชุดทดลองใช้ 6 แค็ปซูล ราคา 300 บาท ใน 1 กระปุก มี 120 แค็ปซูล ราคา 2,500 บาท 

พิเศษ! ราคาสมาชิก4,500 บาท (รวมกันได้ทั้งชนิดเม็ดและชนิดน้ำ)ใชัไม่ได้ผลยินดีคืนเงิน

จัดส่งสินค้าทางไปรษณีย์  EMS ด่วน ฟรี ทั่วประเทศ 

สนใจ ร่วมทำธุรกิจ/สั่งซื้อ ติดต่อ

สนใจ/สั่งซื้อ  คุณนิคมรัตน์ สาลีทำ นิ่มนาโน โทร/ไลน์ 0800587589 หรือ 0892702607 

รองประธานฝ่ายการตลาด และ ผู้บริหารคลังสินค้าจังหวัดอยุธยา