ปุ๋ยใส่ข้าวและพืชทุกชนิดได้ผลเกินพิกัด...

ข่าว ใหญ่  ใหญ่    ใหญ่     ใหญ่มาก... อัพเดตใหม่

ชาวนาไทยกำลังจะรวย ความฝัน ...หรือ ความจริง..?

    เออีซีคือ  AEC หรือ Asean Economics Community คือการรวมตัวของชาติใน Asean 10 ประเทศ ได้แก่

                      ไทย พม่า ลาว เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา บรูไน 

การรวมตัวนี้ เพื่อที่จะให้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจร่วมกัน เหมือนกับการรวมตัวของกลุ่ม Euro Zone  ซึ่งแต่ละประเทศ

จะมีผลประโยชน์ต่อกัน เช่น การทำธุรกิจ เศรษฐกิจ การนำเข้า ส่งออกได้อย่างเสรี  ยกเว้นสินค้าบางชนิดที่แต่ละประเทศ

อาจจะขอไว้ไม่ลดภาษีนำเข้า(เรียกว่าสินค้าอ่อนไหว) จะเริ่มต้นและมีผลบังคับใช้ วันที่ 1มกราคม 2558 ภายหลังที่

การดำเนินการไปสู่การจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนหรืออาฟตาได้บรรลุเป้าหมายในปี 2546  อาเซียนยังคงให้ความสำคัญ

ในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจร่วมกันอย่างต่อเนื่องที่ประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ครั้งที่ 8

เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2545 ณ ประเทศกัมพูชา ได้เห็นชอบให้อาเซียนกำหนดทิศทางการดำเนินงานเพื่อมุ่งไปสู่การเป็น

        ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) AEC โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านสินค้าอุปโภค

บริโภค ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่อาเซียนมีการค้าระหว่างกันในอาเซียนสูงสุด  อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรม

ที่มีสัดส่วนการส่งออกสูงสุดของอาเซียนและให้     เร่งรัดการรวมกลุ่มเพื่อเปิดเสรีสินค้าและบริการสำคัญ 11  สาขาสำคัญ

(priority sectors)  ได้แก่  ประมง การท่องเที่ยว  การบินยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ไม้  ผลิตภัณฑ์ยาง  สิ่งทอ  อิเล็กทรอนิกส์

 สินค้าเกษตร เทคโนโลยีสารสนเทศ และ สุขภาพ

                  อินเดียลุยถล่มยอด 11 ล้านตัน ส่วนไทยลดลงเหลือเพียง 6.7 ล้านตัน เพราะอะไร

 ภาพจากสำนักข่าวไทย

ปัจจุบัน ราคาข้าวของไทย   แม้ชนิดเดียวกัน ก็ยังมีราคาสูงกว่า เวียดนามและเขมร   รวมทั้งคุณสมบัติที่ทางข้าวไทยยังใช้

สารเคมีอยู่มาก ทั้งสารเร่ง สารจับใบ ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าหญ้า-วัชพืช ฆ่าแมลง ทั้งๆที่มีตัวทดแทนแบ่งเบาสารเคมีอยู่ และถูกกว่า

มาก แถมใช้ถูกวิธี ผลผลิตก็เพิ่มเรื่อยๆ ดินก็ดีขึ้นเพราะซับปุ๋ยไว้ได้ แต่ด้วยความเคยชินก็ยังทนใช้อยู่  เพราะเอาปุ๋ยมาใช้ก่อน

จ่ายทีหลัง หลงกลยอมเสียดอกโดยไม่จำเป็น     ไม่เคยคิดว่าส่วนต่างที่จ่ายดอกมากขนาดไหน สุดท้ายก็เป็นหนี้เหมือนเดิม

แล้วเมื่อไร ชาวนาชาวไร่ไทยจะรวยสักที แล้วทำไมไม่คิดแหกกรอบออกจากวิธีเดิมๆ 

           หากผลผลิตผลข้าวไทยออกมา ต่างประเทศไม่อยากซื้อเพราะสารพัดสารเคมี    และราคาที่แพงกว่า หรืออย่างน้อย

ข้าวไทยแพงก็ด้วยตัวเอง จากสารพัดสารเคมี  (สารเร่ง สารจับใบ ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าหญ้า-วัชพืช ยาฆ่าแมลง  โดยเฉพาะค่าแรง

ที่ต้องฉีดต่อการใช้ทุกๆครั้ง  ปัญหาจากปุ๋ยปลอม ปุ๋ยผสมไม่เต็มสูตรจริงจากที่ระบุ) ผลก็คือรัฐบาลไทยอาจขายข้าวไม่ออก

เพราะไม่มีใครซื้อ ราคาข้าวในประเทศก็ตกต่ำ แต่โรงสี ก็ยังคงรวยต่อไป

            มันไม่ใช่เวรใช่กรรมเลย

เพียงชาวนาชาวไร่ชาวสวนและเกษตรกรของไทย แค่เปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ที่เข้ามาทดแทนได้นั่นคืออาหารพืชนาโนวายไอซี

ต้องเข้าใจว่าอาหารคือสิ่งไม่มีพิษต่อการกินเข้าไป   พืชจึงไม่ได้รับมีสารพิษใดๆเลย  ปลอดภัยต่อการบริโภค อาหารพืชนาโน

วายไอซีเป็นอินทรีย์ชีวภาพ ไม่ใช่ของต้องมาทดลองเพราะคิดค้นทดลองจากแคนนาดาแล้ว และชาวนาหลายๆพื้นที่ของไทย

ใช้มาก่อน 2 ปีแล้วพิสูจน์แล้วใช้ได้ผลเต็มร้อย    เมื่อใช้ถูกวิธี ถูกอัตรา ถูกเวลา แล้วคุณๆพี่ชาวนาชาวไร่ ต้องรอคอยเวลามา

นั่งทดลองอีกหรือ 

ข่าว ใหญ่  ใหญ่    ใหญ่     ใหญ่มาก...

อุตรดิตถ์พบแล้ว..นาโนไฮเทค สุดยอดประหยัดเหลือเชื่อ

เพชรบุรี ได้ผลผลิตดีมากเช่นกัน

ใช้นาโน วายไอซี เพียง 30 บาท ต่อไร่...

อาหารเสริมพืช แค็ปซูลนาโน วายไอซี ดีสุดปัง 

ข้าวงวย รวงข้าวเม็ดใหญ่สวย ข้าวมีน้ำหนัก รวงใหญ่เป็นมัดๆ

 ข้าวกัมพูชา   ขึ้นแท่นข้าวคุณภาพดีที่สุดในโลกประจำปี 2555 (World’s Best Rice 2012) อย่างน่าประหลาดใจ

                   ข้าวหอมจากกัมพูชาได้รับคะแนนสูงสุด ในการประกวดที่บาหลี อินโดนีเซีย

ระหว่างการประชุมข้าวโลก(World Rice Conference)นับเป็นครั้งที่ 2 ที่ข้าวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่ง

ถัดจากข้าวพม่าเมื่อปีที่แล้ว คณะกรรมการที่ประกอบด้วยนักชิม ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้าว กับกุ๊กจากโรงแรมระดับ 5ดาวใน

บาหลี ที่ได้รับเชิญในการ “ชิม” ที่ไม่มีการระบุประเภท ชนิด หรือแหล่งที่มาของข้าว ซึ่งการประชุม WRC  จัดขึ้นประจำทุกปี

โดยจัดวาระที่มุ่งศึกษาทิศทางตลาดข้าว และวิเคราะห์แนวโน้มราคาข้าว ประเทศนี้เพิ่งฟื้นฟูการปลูกข้าวและเพิ่งจะเริ่มส่งออก

เมื่อไม่กี่ปีมานี้ แต่ปริมาณเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับไทย  ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวเบอร์ 1ของโลกตลอดมาจนกระทั่งปีที่แล้ว และ

ข้าวหอมมะลิ105 ของไทย  ยังเป็นข้าวหอมมะลิที่ขายได้ราคาแพงที่สุดในโลก  รัฐบาลยังคงยืนกรานขายข้าวในราคาแพงต่อ

ไป ขณะที่สถาน-การณ์  ตลาดเปลี่ยนไปไม่หยุดยั้ง ซึ่งปัจจุบันตลาดโลกมีตัวเลือกมากยิ่งขึ้น

ตลาดข้าวโลก ปี 2022 หรือปี 2565

               เวลา+น้ำเพาะปลูกไม่เคยคอยใคร

               วันนี้หากดินคุณดีสามารถเก็บปุ๋ยไว้ได้อยู่แล้ว  คุณคิดทดลองให้อาหารพืชนาโนวายไอซี 1ไร่ เพียง 147 บาท

ต่อไร่( หาก 10 ไร่ = 1470  บาท ) แค่ 110 วันผ่านไป    ครั้งแรก เก็บเกี่ยวได้ข้าว 1 เกวียน 12 ถัง หากใช้แต่แรก 10

ไร่ ได้รวม11 เกวียน 20ถัง รับเงิน  (คูณด้วยตอนนี้ เกวียนละ 5000 เท่ากับ ได้เงิน 56000 บาท  หักค่าฉีดปุ๋ย 4 ครั้ง ๆละ

50 บาท ตกไร่ละ 200 บาท คิด10 ไร่ เป็นเงิน 2000 บาท      รับเงิน 54000 บาท (ครั้งที่ 2-  3 - 4-....ผลผลิตจะมาก

กว่านี้ขึ้นเรื่อยๆ) ส่วนปลูกข้าวใช้เคมี 10 ไร่ ใช้เงินราว 1200 บาท ต่อไร่ 10 ไร่ = 12000 บาท  (รวมสารเร่ง+จับใบ+ฆ่า

แมลง ฮอร์โมน ค่าฉีดพ่นแล้ว ) ได้ผลผลิต ไร่ละ 70-85 ถัง   รวม 10ไร่ เต็มที่ 8 เกวียน 50ถัง คูณ เกวียนละ 5000 บาท

เป็นเงิน 42500 บาทหักต้นทุน 12000 เหลือ 30500 หักค่าดอกเบี้ยปุ๋ย(5.5 อนาคต ) - 7 %  ถ้าปุ๋ยลูกละ 800 ใช้ไป

น้อยสุด 10 ลูก 8000 บาท ค่า ดอกเบี้ยคือ 560 บาท เหลือรับเงินจริง 29940 บาท ต่อ 10 ไร่

                สรุป ...ใช้ อาหารพืชนาโนวายไอซี ได้เงิน 54000 บาท ใช้ปุ๋ยเคมี ได้เงิน 29940 บาทโดยคิดจาก 10 ไร่

คุณสูญเงินที่ต้องได้ 20460 บาท แน่นอนหากคุณขายได้เกวียนละ 10000 บาท  คุณจะสูญเงินที่ควรได้รับ 40920 บาท

หากคุณมี100 ไร่ คุณจะสูญเงินที่ควรได้รับ 409,200 บาท คุณจะยอมหรือ (หมายเหตู * อาหารพืชนาโนวายไอซี ไม่ต้อง

ใช้สารเร่ง หรือจับใบใดๆอีก  เพราะเป็นนาโนสามารถแทรกซึมเข้าสู่ใบโดยตรงได้รวดเร็วอยู่แล้ว น้ำปุ๋ยทีฉีดแล้วลงพื้นดินก็จะ

ไปปรับสภาพดินให้เป็นกลางเพื่อดินจะได้ซึมซับเก็บปุ๋ยไว้ให้พืชเอาไปใช้ต่อไป ได้ประโยชน์ 2 ต่อ )

                แต่หากดินที่นาเสียแต่แรกต้องปรับสภาพดินก่อน โดยใช้อาหารพืชนาโนวายไอซี ร่วมกับปุ๋ยพื้นฐานไปก่อนแล้ว

ค่อยๆลดเคมีลง ในแต่ละครั้งที่ทำนาโดยลดปุ๋ยพื้นฐานลงมาครึ่งหนึ่ง จากเดิมเพราะจริงๆที่ทำนามักใช้ปุ๋ยยูเรีย 1 ลูก และปุ๋ย

สูตร 1 ลูกคือ 2 ลูกต่อไร่  ซึ่งที่คิดตามเนื้อหาข้างบนเพียงไร่ละ 1ลูกเท่านั้นเอง ตัวอย่างเช่น จากเดิม 2 ลูก 1600บาท+ค่า

ฉีด+สารต่างๆที่เพิ่ม อีก 150 บาท = 1750 บาท .มาเป็นวายไอซี 147+ปุ๋ยลูกละ 800 บาท   จะประหยัดไป 1750 -947

= ต้นทุนประหยัดไป 803 บาท ต่อไร่ คือต้นทุนลดลงครึ่งนึง ส่วนผลผลิตขั้นต่ำคือ 80 ถังต่อไร่   เพราะดินนาเสียแต่แรก แต่

พอใช้ไปเรื่อยๆ ดินก็จะดีไปเรือยๆ  ผลผลิตจะเพิ่มเป็น 90 – 100 – 110 – 120 -...ถังต่อไร่   ขึ้นอยู่กับสถาพดินเป็นปัจจัย

                อนาคตของชาวนาเราทุกๆคน    จะไปได้ไกล จะร่ำรวยๆๆ  ..เพราะประเทศในแถบอาเซียน จะโยงใยสู่

การค้าเสรีเงินในกระเป๋าจะตุง เพียงแต่..ชาวนาเราทุกวันนี้ มีหนี้สินที่ใช้เวลามากมายกว่าจะรวยเพราะชาวนาทุกๆคน

ย่อมรู้อยู่แก่ใจจากการเพาะปลูกที่ใช้ต้องใช้สารเคมีมาเป็นเวลานานจนดินเสีย ข้าวและพืชไร่ต่างๆไม่กินปุ๋ย  คือได้

ผลน้อยลงๆแล้วจะแก้ยังไง เพื่อจะรองรับ..ความรวยตอนนี้ชาวนาเราแค่มีผลผลิตน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน  2 เท่า

ราคาเขาก็ถูกกว่า เพราะดินที่ดีกว่าในทางกลับกัน ถ้าชาวนาเรายังปรับตัวตามไม่ทัน   การส่งออกข้าวจะขายไม่ออก

ข้าวจะล้นสต้อก ราคาข้าวจะตกต่ำลงไปเรื่อยๆ

               ทางแก้ไขก็คือต้องทำให้ดินดี โดยการใช้ปุ๋ยเคมีให้น้อยลง ใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรือ ปุ๋ยชีวภาพ เพื่อปรับสภาพ

ดินให้อุดมสมบรูณ์  ปุ๋ยบางอย่างเช่น ปุ๋ยประเภทอาหารเสริม แค็ปซูลนาโน ที่ใช้ได้ผลจริง ช่วยปรับสภาพดินที่มีส่าร

โพแตสเซียม(K)  ตกค้างที่ทำให้ดินแข็งไม่สามารถรับปุ๋ยได้อีก ปุ๋ยไม่ซึมอยู่ในดิน   หรือดินเป็นกรด ต้องทำให้เป็น

กลางแล้วดินจะซึมซับปุ๋ยไว้ได้การใช้ปุ๋ยเคมีทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเพิ่มผลผลิตทางเกษตรแบ่งได้เป็น 2กลุ่มใหญ่คือ

ปุ๋ยเคมีที่ประกอบด้วยธาตุหลักสำคัญของพืช ได้แก่ ไนโตรเจน(N) ฟอสฟอรัส(P) และโพแตสเซียม(K)  เมื่อใช้ติด

ต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้ดินเปรี้ยวมีสภาพความเป็นกรดสูง การใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช (pesticides)   เป็นเวลา

นานเช่นกัน ทำให้ดินเป็นแหล่งสะสมสารเคมีที่มีผลตกค้างเช่น สารประเภทคลอรีนอินทรีย์(organochlorine)เป็นต้น

และสารประเภทอนินทรีย์ที่ใช้ธาตุพิษเป็นองค์ประกอบหลักเช่น สารหนู  ทองแดง ปรอท ฯลฯ 

                หากชาวนาไทยเราปรับตัวทันก่อนอาเซียนเปิดประตูการค้าเสรี 10 ประเทศทัน ชาวนาไทยเราก็จะรวย แต่ถ้ายัง

คงใช้ปุ๋ยเคมีต่อไปโดยไม่ผสม ผลผลิตจะลด สิ้นเปลืองเงินซื้อปุ๋ยเคมีมากมายแล้วเมื่อไรชาวนาไทยเราจะรวยสักที

               นิ่มก็ขออนุญาตแนะนำ อาหารเสริมพืชวายไอซีแค็ปซูลนาโนบริษัทเยสไอแคนคอโปเรชั่นไทยแลนด์ คุณสมบัติ เป็นด่างสามารถละลายน้ำได้ดี แลกประจุได้ สามารถดูดซับแร่ธาตุได้ดี มีคุณสมบัติเป็นสารดีเลตผสมน้ำราโคนต้นจะช่วยปรับสภาพดินเนียวให้คลายตัวออก ในดินทราย จะช่วยอุ้มน้ำ ทำให้โครงสร้างของดินแข็งแรง ทนทานช่วยให้ดินโปร่งร่วนซุย น้ำและอากาศ ถ่ายเทสะดวก รากพืชแผ่ขยายได้ง่าย รักษาความเป็นกรดด่างไม่ให้เปลี่ยนแปลงเร็ว

                 ส่วนประกอบ สารประกอบอินทรีย์ที่เกิดจากโมเลกุลของสารหลายชนิดรวมกันกับฮัวมิค แอซิด ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซนต์ มีโพแทสเซียมไม่น้อยกว่า 8% เป็นสารผสมเข้มข้นของสารประกอบคาร์โบไฮเดรตหลายชนิด กับ ธาตุอาหารเสริมในรูปของสารดีเลตใช้ร่วมกับไคโตซาน หรือไซโตไคซินสารดูดซึมจะช่วยเพิ่มสภาพการดูดซึมได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มแป้งและน้ำตาล ในพืชได้โดยตรง ทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดี สมบูรณ์แข็งแรง ฟื้นตัวได้เร็ว

- อัตราการใช้

                   1.พืชไร่ ใช้อัตราผสมน้ำ 1 แคปซูล ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทุก 15-20 วัน 

- 1 กระปุก ( 120 แค็ปซูล) ใช้กับพืชได้ 60-120 ไร่ ฉีดพ่นทุก 10-15 วัน

- ราคาจำหน่าย ปกติกระปุกละ 3,500 บาท (120 แค็ปซูล) สมาชิก 2,500 บาท

         โดยใช้ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยเคมี หรือปุ๋ยชีวภาพจากเดิมเช่น1กระสอบ(700บาท)ต่อไร่ให้ลดลงมาครึ่งกระสอบ

( 350บาท)ใช้ร่วมกับปุ๋ยแค็ปซูลนาโน1 เม็ด (20บาท ราคาสมาชิก)และนาโนพลัสน้ำ 2 ซีซี 14บาท   ประหยัด

ไปถึง 316 บาทแบบเห็นๆ แถมผลผลิตเพิ่มตามสภาพดิน